สัมภาษณ์พิเศษ(formula)
คิโยชิ คาซาฮารา
ธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เป็นฟันเฟืองชิ้นสำคัญของตลาดรถยนต์ ที่ปัจจุบันมียอดจำหน่ายเพิ่มมาก
ขึ้น โดยเฉพาะด้านส่งออก นำเงินตราจำนวนมากเข้าสู่ประเทศ "ฟอร์มูลา" สัมภาษณ์พิเศษ คิโยชิ คา
ซาฮารา ประธาน บริษัท สยามเอ็นจีเคสปาร์คปลั๊ก จำกัด
ฟอร์มูลา : บริษัท สยามเอ็นจีเคสปาร์คปลั๊ก จำกัด ดำเนินธุรกิจด้านใด ?
คาซาฮารา : NGK มาจากคำว่า NIPON GAISHI K.K. มีบริษัทในเครือ คือ NGK SPARK PLUG
CO., LTD./ NORITAKE CO., LTD./NGK INSULATORS, LTD./TOTO CO., LTD. และ
MORIMURA BROS. INC. ส่วน NTK มาจากคำว่า NIPPON TOKUSHU TOUGYOU K.K. ซึ่งเป็น
บริษัทผลิตชิ้นส่วนเซรามิค เราดำเนินธุรกิจ 3 กลุ่มทั่วโลก คือ ชิ้นส่วนรถยนต์ แบ่งเป็น 4 ประเภทสิน
ค้า ได้แก่ หัวเทียน (SPARK PLUGE) หัวเผาสำหรับรถพิคอัพ (GLOW PLUGE) OXYGEN
SENSORS และ KNOCK SENSORS ชิ้นส่วนเซรามิค ชิ้นส่วนอีเลคทรอนิคส์ มีสำนักงานอยู่ใน 12
ประเทศ และมีโรงงาน 15 แห่งทั่วโลก
สำหรับประเทศไทย เข้ามาดำเนินธุรกิจในปี 2520 ใช้ชื่อว่า บริษัท สยามเอ็นจีเคสปาร์คปลั๊ก จำกัด มี
ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท ผ่านการรับรองมาตรฐานสำคัญ เช่น ISO/TS 16949: 2002 และ ISO
14001: 2004 ปัจจุบันโรงงานตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร มีพื้นที่ 17,000 ตารางเมตร
ฟอร์มูลา : การดำเนินธุรกิจที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ?
คาซาฮารา : มีส่วนแบ่งการตลาดทั่วโลก 35 % ไม่รวมประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีส่วนแบ่งทั้งประเทศ 71 % ใน
เอเชีย มีส่วนแบ่ง 24 % สหรัฐอเมริกา 19 % ปัจจุบันมีนโยบายระดับสากล มุ่งเน้นเพิ่มส่วนแบ่งการ
ตลาดทั่วโลกให้ได้ 40 % ภายในปี 2015 โดยมุ่งพัฒนาตลาดในกลุ่มประเทศที่มีส่วนแบ่งการตลาดไม่
ถึง 40 %
ในปี 2548 บริษัท ฯ มีส่วนแบ่งตลาด OEM (โรงงานประกอบรถ) ของผลิตภัณฑ์หัวเทียน ซึ่งมีปริมาณ
การผลิตทั่วโลก 322.5 ล้านชิ้น/ปี เป็นอันดับ 1 มีส่วนแบ่ง 40 % หัวเผาสำหรับรถพิคอัพ มีปริมาณ
การผลิต 52.2 ล้านชิ้น/ปี มีส่วนแบ่ง 19 % อยู่อันดับ 2 OXYGEN SENSORS มีปริมาณการผลิต
108.8 ล้านชิ้น/ปี อยู่อันดับ 1 มีส่วนแบ่ง 37 % KNOCK SENSORS มีปริมาณการผลิต 71.7 ล้านชิ้น
/ปี อยู่อันดับ 3 ของตลาด มีส่วนแบ่ง 14 %
ฟอร์มูลา : โรงงานในประเทศไทยผลิตสินค้าประเภทใด ?
คาซาฮารา : สินค้าที่ผลิตในประเทศไทย ได้แก่ METAL SHELL/หัวเทียน ปัจจุบันมียอดการผลิตรวม
ทั้งสิ้น 240 ล้านชิ้น/ หัวเผาสำหรับรถพิคอัพ มีการผลิตรวม 3.2 ล้านชิ้น/ฝาครอบหัวเทียน (PLUG
CAP) มีการผลิตจนถึงปัจจุบัน 11 ล้านชิ้น จำหน่ายในประเทศ 30 ส่งออก 70 % อย่างไรก็ตาม ชิ้น
ส่วนบางชิ้น เช่น แกนกลางหัวเทียน ซึ่งเป็นเซรามิค ยังต้องนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเป็น
เทคโนโลยีระดับสูง ทั้งนี้บริษัทคาดว่าในอีก 2 ปี ข้างหน้าจะถ่ายทอดเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นทั้งหมดย้าย
มาผลิตในประเทศไทย
ฟอร์มูลา : สินค้าทำตลาดโดยผ่านช่องทางใด ?
คาซาฮารา : สินค้าของบริษัทจะแบ่งการทำตลาดออกเป็น 3 ช่องทาง คือ OEM รถยนต์ กลุ่มลูกค้าได้
แก่ ฮอนดา/นิสสัน/ออโต้อัลลายแอนซ์ ฯ/ซูซูกิ และ มิตซูบิชิ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับ โตโยตา นอกจากนี้ อีซูซุ ก็ให้ความสนใจผลิตภัณฑ์หัวเผาสำหรับรถพิคอัพ ส่วนตลาดรถจักรยานยนต์ กลุ่มลูกค้าได้แก่ ไทยฮอนด้า ฯ/ไทยยามาฮ่า ฯ/ คาวาซากิ ฯ และไทยซูซูกิ ฯ ส่วนช่องทางตลาดทดแทน ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่าย 350 แห่งทั่วประเทศ และช่องทางส่งออก บริษัทส่งหัวเทียนไปจำหน่ายในกลุ่ม
ประเทศเพื่อนบ้าน อินเดีย และยุโรป แต่ยังไม่มากนัก นอกจากนี้ยังมองการขยายตลาดในกลุ่ม
ประเทศใหม่ๆ เช่น แอฟริกาใต้ โดยบริษัทมีนโยบายอีก 2 ปีข้างหน้า จะขยายตลาดส่งออกให้มียอด
จำหน่ายเทียบเท่ากับในประเทศ
ฟอร์มูลา : บริษัทวางแผนการตลาดของสินค้าแต่ละกลุ่มไว้อย่างไร ?
คาซาฮารา : ปัจจุบันยอดจำหน่ายหัวเทียน และหัวเผา มีสัดส่วนเท่ากัน SENSORS ยังมียอด
จำหน่ายไม่มากนัก แต่บริษัทมองว่าในอนาคตจะดีขึ้น เพราะปัจจุบันรถจักรยานยนต์ เช่น ฮอนดา และ
ซูซูกิ ได้นำเทคโนโลยีเริ่มนำมาใช้ในการผลิตแล้ว โดยกลุ่มผู้ประกอบการ OEM ส่วนใหญ่ ต้องการ
ผลิตภัณฑ์ที่มีอายุยืนยาว จุดระเบิดได้ดี มีขนาดเล็ก ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยประหยัด
น้ำมัน และติดตั้งสะดวก
การทำตลาดหัวเทียนแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ ตลาดไฮ-เอนด์ มีหัวเทียนประเภท PLATINUM/IRIDIUM
และหัวเทียนที่มีแกนยาวกว่าปกติ ซึ่งเราให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า เพื่อให้สามารถ
แข่งขันได้ ตลาดมาตรฐาน คือ ตลาดรถใหม่ทั่วไป เน้นด้านปริมาณ และการลดต้นทุนของสินค้าให้ได้
มากที่สุด ซึ่งการเข้ามาตั้งโรงงานผลิตสินค้าในประเทศไทย ก็เป็นนโยบายหนึ่งเพื่อช่วยลดต้นทุนของ
เรา เนื่องจากไม่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ โดยใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้มากขึ้น
หัวเผาสำหรับรถกระบะ ผู้ใช้รถในประเทศไทย นิยมใช้รถกระบะ รวมทั้งในหลายๆ ประเทศ เช่น ยุโรป
ดังนั้น ตลาดนี้ยังมีโอกาสเติบโตต่อไป SENSORS ซึ่งเป็นอุปกรณ์ควบคุมระบบไอเสียของเครื่องยนต์
แม้ปัจจุบันจะมียอดขายไม่มากนัก แต่เนื่องจากมาตรการควบคุมไอเสีย เช่น ยูโร 3 ยูโร 4 เริ่มเข้ามามี
บทบาทในการผลิตรถมากขึ้น ปัจจุบันผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยได้สั่ง SENSORS ไปติด
ตั้งในเครื่องยนต์บ้างแล้ว ดังนั้น โอกาสในการจำหน่าย SENSORS ก็สูง รวมทั้งในตลาดชิ้นส่วนรถ
ด้วย
เราเน้นการทำตลาดทั้ง การยกระดับบแรนด์ ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ และการปกป้องบแรนด์ เช่น การจัด
สัมมนาให้ความรู้เรื่องผลิตภัณฑ์ รวมทั้งป้องกันปัญหาสินค้าปลอม ซึ่งจากความร่วมมือกับสำนักงาน
กฎหมาย ในการดูแลปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง สินค้าปลอมจึงลดลงอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา
ฟอร์มูลา : แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจหัวเทียนในอนาคตเป็นอย่างไร ?
คาซาฮารา : ธุรกิจหัวเทียน เติบโตตามธุรกิจรถยนต์ โดยมองว่า ธุรกิจรถยนต์ในประเทศไทย ยังมีแนว
โน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ซึ่งผู้รู้บางคนคาดการณ์ว่า ในปี 2010 ประเทศไทยจะมียอดผลิตรถยนต์
2 ล้านคัน/ปี เป็นการผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน มียอดผลิตรถจักรยานยนต์ 6.2 ล้านคัน ใช้ในประเทศ
2.8 ล้านคัน โดยผู้ผลิตแต่ละรายจะให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่ง
แวดล้อม ดังนั้น ผู้ผลิตชิ้นส่วนประกอบรถ ต้องพัฒนาคุณภาพของสินค้าให้ตรงกับความต้องการของ
ตลาดด้วย
นอกจากนี้ ปัจจุบันรถจักรยานยนต์ 2 จังหวะ ถูกแทนที่ด้วยรถจักรยานยนต์ 4 จังหวะ ดังนั้นทิศทาง
ของหัวเทียนในอนาคต จะเน้นผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ซึ่งเรามีผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง เช่น G-
POWER/IRIDIUM/PLATINUM ในส่วนของหัวเผา ปัจจุบันรถดีเซลในประเทศไทยยังมีอัตราการเติบโต
ได้ดี หัวเผาก็น่าจะมีทิศทางที่ดี ส่วน SENSORS นั้น น่าจะทำตลาดได้ไม่ยากจากข้อบังคับเรื่องยูโร 3
ยูโร 4 โดยเน้นทำตลาดในกลุ่มรถใหม่
ฟอร์มูลา : จุดแข็งของผลิตภัณฑ์ NGK คืออะไร ?
คาซาฮารา : คุณภาพสินค้าของเราแตกต่างจากคู่แข่ง โดยเฉพาะการพัฒนาสินค้าให้มีความหลาก
หลาย เรามีสินค้าบางรุ่นที่คู่แข่งไม่มี คือ G-POWER และ IRIWAY มีร้านค้าตัวแทนจำหน่ายครอบ
คลุมทุกพื้นที่ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับร้านจำหน่าย เช่น การจัดกิจกรรมหรือโพรโมชันให้แก่ร้านค้า
การไปเยี่ยมร้านจำหน่าย
นอกจากนี้ เรายังมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซรามิค โดยมุ่งไปที่ผลิตภัณฑ์หัวเทียนโดยเฉพาะ
ซึ่งมีประสบการณ์การผลิตมากว่า 70 ปี และครองส่วนแบ่งการตลาดของผลิตภัณฑ์หัวเทียนเป็นอันดับ
1 ทั่วโลก มีกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ผลิตรถทั่วโลก ทั้งค่ายรถญี่ปุ่น และอเมริกัน ปัจจุบันเรามีหัวเทียน 4 ชนิด
คือ หัวเทียนมาตรฐาน/G-POWER ซึ่งเป็นรุ่นที่ขายดีที่สุด ช่วยให้เครื่องแรง และประหยัดน้ำมัน
/IRIDIUM นิยมใช้กับรถแข่ง และ IRIWAY เหมาะกับรถที่มีการปรับแต่งเครื่องยนต์
ฟอร์มูลา : สินค้าสำหรับตลาด OEM และ ตลาดทดแทน มีความแตกต่างกันอย่างไร ?
คาซาฮารา : นโยบายการตลาดของเรา เน้นเรื่องคุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นสำคัญ โดย OEM ทั่วไปจะ
เน้นเรื่องคุณภาพ และต้นทุนสินค้า แต่เราเพิ่มบริการด้านการจัดส่งให้กับลูกค้า เนื่องจากบริษัทรถ
ขนาดใหญ่มักไม่เก็บสตอคสินค้า เราต้องมีระบบจัดส่งให้ทันต่อความต้องการ ไม่เช่นนั้นอาจเสีย
โอกาสทางการตลาดไปได้ รวมทั้งเรื่องข้อมูลข่าวสาร ที่ต้องตามให้ทันกับกระแสความต้องการของ
ตลาด เช่น บริษัทรถบแรนด์นี้มีนโยบายการผลิตรถเป็นอย่างไร เพื่อจะได้ผลิตผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับ
ความต้องการ และนี่คือสิ่งที่ทำให้เราเหนือกว่าคู่แข่ง
สำหรับตลาด REM ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพและราคาเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องช่อง
ทางจำหน่ายที่ต้องครอบคลุมทุกพื้นที่ การให้ความรู้แก่ผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องสินค้าปลอม ซึ่งมีมาก
ในปัจจุบัน โดยเรามีการจัดสัมมนาเดือนละ 2 ครั้ง นอกจากนี้ เรายังเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับ
ผู้ขาย เรามองคู่ขายของเราเหมือนครอบครัว มีการพบปะ แลกเปลี่ยนข้อมูลความเห็นระหว่างกัน ซึ่ง
ช่วยในการทำตลาดของเรามากขึ้น
ฟอร์มูลา : วางนโยบายเพื่อสร้างการเติบโตไว้อย่างไร ?
คาซาฮารา : ในประเทศไทย เรามีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ที่ 40 % จากปริมาณความต้องการหัวเทียน
ทั้งประเทศที่ 23 ล้านหัว ซึ่งมีการคาดกันว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยจะเติบโต
ขึ้นอีก เราก็น่าจะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดของเราได้เช่นกัน โดยชูจุดแข็งด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์
เป็นตัวทำตลาด โดยปัจจุบันเราเป็นผู้ผลิตหัวเทียนเจ้าแรก ที่มีเทคโนโลยีหัวเทียน IRIDIUM และ G-
POWER
ฟอร์มูลา : ปัจจุบันมีกำลังการผลิตเท่าไร ?
คาซาฮารา : เรามีกำลังการผลิตรวมทุกผลิตภัณฑ์ 1.2 ล้านชิ้น/เดือน และมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต
หากความต้องการของตลาดมีมากขึ้น โดยจะเพิ่มในส่วนของเครื่องจักร และขยายเวลาการทำงานจาก
ปัจจุบันมีพนักงานทำงาน 2 ช่วง เพิ่มเป็น 3 ช่วง
ฟอร์มูลา : คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าใดในปีนี้ ?
คาซาฮารา : 3 ปีที่ผ่านมาเรามีอัตราการเติบโตเป็นเท่าตัว และเราก็หวังว่าในปีนี้จะมีการเติบโตกว่าปีที่
ผ่านมา 20 % คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ และแม้ยอดขายรถยนต์บางกลุ่มจะตกลง แต่ยอดการผลิตของ
บริษัทผู้ผลิตยังอยู่ในระดับเดิม ดังนั้นยอดขายของเราไม่ตกแน่นอน ส่วนภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน จะ
กระทบกับยอดจำหน่ายของ REM โดยขณะนี้ตัวแทนจำหน่ายบางแห่งมียอดขายตกลงประมาณ 20%
ABOUT THE AUTHOR
น
นาทลดา ทองมาก/ภูริยา คงอัยรา
ภาพโดย : เอกลักษณ์ จุลสุคนธ์นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : สัมภาษณ์พิเศษ(formula)