ต้อนรับปีงูดินด้วยรถสปอร์ท 3 แบบ 3 รุ่น เป็นรถ 2 สัญชาติ และเป็นผลงานใหม่ของผู้ผลิตรถยนต์ 3 ราย คือ FERRARI (แฟร์รารี) LAMBORGHINI (ลัมโบร์กินี) และ McLAREN (แมคลาเรน) เป็นรถสปอร์ทระดับ SUPERCAR ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งให้กำลังสูงสุดระดับ 676-938 กิโลวัตต์ หรือ 920-1,275 แรงม้า และไม่มีคันใดเลยที่ไม่สามารถทำความเร็วระดับ 340 กม./ชม.
เปิดระเบียงด้วย FERRARI F80 (แฟร์รารี เอฟ 80) ผลงานใหม่ล่าสุดของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองมะกะโรนี ซึ่งเพิ่งเปิดตัวในอิตาลีเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม 2024 และเพียง 1 เดือนหลังจากนั้นก็เข้ามาอวดตัวในประเทศไทย
ก่อนหน้านี้ ค่าย “ม้าลำพอง” เคยทำรถสปอร์ท “ซูเพอร์คาร์” รหัส F มาแล้ว 2 รุ่น คือ FERRARI F40 (แฟร์รารี เอฟ 40) ซึ่งอยู่ในสายการผลิตระหว่างปี 1987-1992 และมียอดผลิตรวม 1,311 คัน กับ FERRARI F50 (แฟร์รารี เอฟ 50) ซึ่งผลิตรวม 349 คัน ระหว่างปี 1995-1997
FERRARI F40 เป็นรถที่ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระ 40 ปี ของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทซึ่งเริ่มกิจการเมื่อปี 1947 เป็น REAR MID-ENGINE/REAR-WHEEL DRIVE CAR หรือรถวางเครื่องยนต์กลางลำค่อนท้าย/ขับเคลื่อนล้อหลัง ในตัวถังไฟเบอร์กลาสส์ 2 ประตู 2 ที่นั่ง ยาว 4.430 ม. กว้าง 1.980 ม. และสูง 1.130 ม. ซึ่งออกแบบโดยสำนัก PININFARINA (ปินินฟารินา) ติดตั้งเครื่องยนต์ ทวินเทอร์โบเบนซิน DOHC วี 8 สูบ 32 วาล์ว 2,936 ซีซี 351 กิโลวัตต์/478 แรงม้า ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.6 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 324 กม./ชม.
FERRARI F50 ซึ่งตามมาในปี 1995 ก็เป็น REAR MID-ENGINE/REAR-WHEEL DRIVE CAR หรือรถวางเครื่องยนต์กลางลำค่อนท้าย/ขับเคลื่อนล้อหลังเช่นกัน แต่อยู่ในตัวถัง 2 ประตูเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ยาว 4.480 ม. กว้าง 1.986 ม. และสูง 1.120 ม. ซึ่งก็ออกแบบโดยสำนัก PININFARINA เจ้าเก่า ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 12 สูบ 65 องศา 60 วาล์ว 4,700 ซีซี 383 กิโลวัตต์/520 แรงม้า ส่งกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ใช้เวลาเพียง 3.9 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. และสามารถทำความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม.
หลังจากนั้นมีรถ “ซูเพอร์คาร์ม้าลำพอง” อีก 2 รุ่น ซึ่งไม่ได้ใช้รหัส F คือ FERRARI ENZO (แฟร์-รารี เอนโซ) รถ 2 ประตูคูเป 2 ที่นั่ง 485 กิโลวัตต์/660 แรงม้า ซึ่งอยู่ในสายการผลิตระหว่างปี 2002-2004 และ FERRARI LAFERRARI (แฟร์-รารี ลาแฟร์รารี) รถ 2 ประตูคูเป 2 ที่นั่ง และ 2 ประตูเปิดประทุน 2 ที่นั่ง 708 กิโลวัตต์/963 แรงม้า ซึ่งผลิตระหว่างปี 2013-2018
ส่วน FERRARI F80 ที่กำลังอวดโฉมอยู่นี้ (1) เป็น “ซูเพอร์คาร์ม้าลำพอง” ตัวใหม่ล่าสุด (2) เป็น ROAD CAR หรือรถวิ่งได้ตามท้องถนนโดยถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหลุดจากประตูโรงงานของค่าย FERRARI ที่ทรงพลังกว่ารถ “ม้าลำพอง” แบบใดๆ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน (3) เป็นรถที่กำหนดมาตรฐานใหม่ ทั้งในด้านนวัตกรรม และความเยี่ยมยอดทางวิศวกรรม (4) เป็นรถที่ค่าย “ม้าลำพอง” บอกว่า ทำขึ้นเพื่อเจ้าของรถที่ต้องการขับรถ ไม่ใช่ผู้ที่ต้องการเพียงเป็นเจ้าของรถ (5) เป็นรถที่คาดกันว่า ค่าตัวในอิตาลีจะสูงถึง 4.0 ล้านยูโร หรือเท่ากับประมาณ 150 ล้านบาทไทย (6) เป็นรถที่จะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 799 คัน และทุกคันขายไปหมดแล้ว แหล่งข่าวสำคัญ และเป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เป็นรถที่ออกแบบ และตั้งชื่อเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปี ซึ่งจะมาถึงในปี 2027
ตัวถังยาว 4.840 ม. กว้าง 2.060 ม. และสูง 1.138 ม. ซึ่งมีช่วงฐานล้อยาว 2.665 ม. เป็นผลงานรังสรรค์ของศูนย์ออกแบบ FERRARI STYLING CENTRE (แฟร์รารี สไตลิง เซนเตอร์) ซึ่งมี FLAVIO MANZONI (ฟลาวิโอ มันโซนี) สถาปนิก และนักออกแบบรถยนต์ชาวอิตาลีที่เริ่มทำงานกับค่ายนี้เมื่อปี 2010 เป็นผู้กำกับดูแล นับเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่เจ้าของงานบอกว่า ได้แรงบันดาลใจจากยานอวกาศ และนิยายวิทยาศาสตร์บางเรื่อง อย่างไรก็ตาม มีอยู่หลายส่วนที่เห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจากรถในอดีต เช่น ซุ้มล้อหน้าที่ออกแบบสไตล์เดียวกันกับรถ FERRARI F40 และ FERRARI ENZO กับส่วนท้ายของตัวรถที่สะท้อนภาพของรถรุ่นคลาสสิค คือ FERRARI 330 P3 (แฟร์รารี 330 พี 3)
เป็นตัวถังที่มีน้ำหนักตัวเปล่า 1,525 กก. คือ เบากว่า “ซูเพอร์คาร์ม้าลำพอง” FERRARI LAFERRARI ถึง 60 กก. แต่แข็งเกร็งกว่ากันถึงร้อยละ 50 เนื่องจากชิ้นส่วนตัวถังเกือบทั้งหมดทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ในขณะที่โครงย่อยทั้งด้านหน้า และด้านหลังทำจาก อลูมิเนียม เป็นตัวถังซึ่งเมื่อมองจากภายนอกจะเห็นจุดเด่นสะดุดตาอยู่มากมาย เช่น ประตูข้างทั้ง 2 ด้านซึ่งมีขนาดใหญ่ และเปิด/ปิดแบบปีกผีเสื้อ แถบสีดำคาดจมูกรถที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับรถ FERRARI 12CILINDRI (แฟร์รารี 12 ซีลินดรี) ที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2024 กับปีกท้ายซึ่งปรับได้ทั้งมุม และความสูง สามารถสร้าง DOWNFORCE หรือแรงกดลงสู่พื้นถนนได้ถึง 590 กก.
ระบบขับที่ใช้ เป็นผลลัพธ์ของการนำเทคโนโลยีที่ใช้ในรถแข่งฟอร์มูลา วัน และรถ FERRARI 499P (แฟร์รารี 499 พี) ที่ชนะเลิศการแข่งทางไกลที่ LE MANS (เลอมองส์) ในฝรั่งเศสเมื่อปี 2023 มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เป็นระบบที่ใช้เครื่องยนต์ทวินเทอร์โบเบนซิน วี 12 สูบ 120 องศา ความจุ 2,992 ซีซี (รหัสเครื่องยนต์ TIPO F163 CF) ให้กำลังสูงสุด 662 กิโล-วัตต์/900 แรงม้า ที่ 8,750 รตน. และให้แรงบิดสูงสุด 850 นิวทันเมตร/86.7 กก.ม. ที่ 5,500 รตน.ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ชุด แบทเตอรีขนาด 860 โวลท์ 2.28 กิโลวัตต์ชั่วโมง และระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 8 จังหวะ F1 DCT
มอเตอร์ไฟฟ้าคู่หน้า ซึ่งมีขนาด 105 กิโลวัตต์/142 แรงม้า ให้กำลังรวมสูงสุด 210 กิโลวัตต์/284 แรงม้า ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าชุดหลังทำหน้าที่ 3 อย่าง คือ (1) สตาร์ทเครื่องยนต์ (2) ป้อนพลังไฟฟ้าคืนกลับเข้าแบทเตอรี (3) เสริมแรงบิดกับเครื่องยนต์ เป็นระบบขับเคลื่อนทุกล้อแบบไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งให้กำลังรวมสูงสุด 882 กิโลวัตต์/1,200 แรงม้า มีโหมดการขับให้เลือก 3 โหมด คือ HYBRID-PERFORMANCE-QUALIFY การเลือกโหมดกระทำโดย EMANETTINO SWITCH (อีมา-เนตติโน สวิทช์) ที่ติดตั้งอยู่บนพวงมาลัย แต่ละโหมดการขับจะให้ระดับกำลังแตกต่างกัน
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของค่าย “ม้าลำพอง” เห็นตัวเลขแล้วมือสั่น อัตราเร่ง 0-100 กม./ ชม.ใช้เวลาแค่ 2.15 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ใช้เวลา 5.75 วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. ส่วนการห้ามล้อ 100-0 กม./ชม. ใช้ระยะทาง 28 ม. และการห้ามล้อ 200-0 กม./ชม. ใช้ระยะทาง 98 ม.
FERRARI F80
รถสปอร์ทประตูปีกผีเสื้อ วางเครื่องยนต์กลางลำค่อนท้าย ขับเคลื่อนทุกล้อ
มิติตัวถัง 4.840x2.060x1.138 ม. ห้องโดยสาร 2 ที่นั่ง น้ำหนักรถเปล่า 1,125 กก.
ระบบขับไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ 882 กิโลวัตต์/1,200 แรงม้า
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 2.15 วินาที ความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม.
ราคาในอิตาลี ประมาณ 3.6 ล้านยูโร (ประมาณ 133 ล้านบาทไทย)