วิถีตลาดรถยนต์
ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนตุลาคม 2024/2023
ตลาดโดยรวม -36.1 %
รถยนต์นั่ง -29.7 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) -44.3 %
กระบะ 1 ตัน -42.0 %
รถเพื่อการพาณิชย์ -11.8 %
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-ตุลาคม 2024/2023
ตลาดโดยรวม -26.2 %
รถยนต์นั่ง -23.3 %
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) +3.0 %
กระบะ 1 ตัน -40.2 %
รถเพื่อการพาณิชย์ -10.6 %
ขี้นสู่ไตรมาสที่ 4 ของปีในเดือนตุลาคม โดยปกติแล้วจะถือเป็นช่วงเริ่มต้นของการซื้อง่ายขายคล่องที่สุดของปี เป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อสูงสุดในรอบปี แต่สำหรับการซื้อขายรถยนต์ใหม่ในบ้านเราไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา
นั่นคือ ยังอยู่ในสภาวะที่ซบเซา เข็นไม่ขึ้นเอาเสียเลย ถึงแม้ว่าจะมีรถยนต์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะรถยนต์ที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ที่มาพร้อมกับการใช้พลังงานทางเลือกใหม่ ออพชันที่ค่อนข้างครบครัน และสนนราคาค่าตัวที่เย้ายวนใจ เปิดตัวเข้าสู่การทำตลาดในประเทศไทยแทบจะทุกเดือน แต่สถานการณ์ตัวเลขยอดจำหน่าย ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น ซึ่งมาจากปัจจัยเดิม ที่ไม่เอื้อต่อการตัดสินใจซื้อ ไม่ว่าจะเป็นความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อยานยนต์ เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวตามเป้าหมาย และความพะวงในเรื่องของการปรับลดราคาจำหน่ายลงจากในช่วงเวลาเปิดตัวออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการของรถยนต์หลายต่อหลายรุ่นดังที่เคยเกิดขึ้นแล้ว เป็นต้น
ทั้งหลายทั้งปวงส่งผลให้ตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ ในเดือนตุลาคม 2567 เป็นตัวเลขที่น้อยที่สุดเดือนหนึ่งในช่วงเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ตัวเลขยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ของเดือนตุลาคม 2567 เพียงแค่ 37,691 คันเท่านั้น เทียบกับเดือนตุลาคม 2566 แล้วเป็นตัวเลขยอดจำหน่ายที่ลดลงถึง 21,272 คัน หรือลดลง 36.1 % ซึ่งในบรรดารถยนต์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดมีเพียง MITSUBISHI (มิตซูบิชิ) เพียงรายเดียวเท่านั้น ที่มีตัวเลขยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นกว่าที่เคยทำไว้ โดย TOYOTA (โตโยตา) ยังคงยืนหนึ่งได้รับความนิยมสูงสุด เดือนตุลาคมจำหน่ายได้อีก 15,162 คัน แต่ถ้าเทียบกับที่เคยทำได้ในเดือนตุลาคม 2566 แล้วเป็นยอดจำหน่ายที่ลดลงไป 5,690 คัน หรือจำหน่ายได้น้อยลง 27.3 % ส่วนแบ่งการตลาดเดือนตุลาคม 2567 อยู่ที่ 40.2 % ISUZU (อีซูซุ) ได้รับความนิยมอยู่ในอันดับ 2 จากยอดจำหน่าย 6,092 คัน เป็นยอดจำหน่ายที่ลดลง 4,870 คัน หรือลดลง 44.4 % เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ส่วนแบ่งการตลาดเดือนนี้ 16.2 % อันดับ 3 ค่าย HONDA (ฮอนดา) จำหน่ายได้ 4,137 คัน ลดลง 3,169 คัน หรือลดลง 43.4 % ส่วนแบ่งการตลาด 11.0 % อันดับ 4 MITSUBISHI จำหน่ายได้ 2,129 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคม 2566 ถึง 401 คัน หรือเพิ่มขึ้น 23.2 % ส่วนแบ่งการตลาด 5.6 % และอันดับ 5 ค่าย FORD (ฟอร์ด) ทำยอดจำหน่ายได้ 1,316 คัน ลดลง 1,227 คัน หรือลดลง 48.3 % ส่วนแบ่งการตลาด 3.5 %
ตัวเลขยอดจำหน่ายสะสมรวม ตั้งแต่เดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 รวมทั้งหมด 476,350 คัน เหลือเวลาให้ค้าขายกันอีกแค่ 2 เดือนก็จะหมดปี 2567 ยอดจำหน่ายรวมทั้งปีจะแตะ 600,000 คัน น่าจะเป็นไปได้ยาก และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2566 เดือนมกราคม-ตุลาคม ปี 2567 ยอดจำหน่ายรวมทั้งหมดลดลงจากปี 2566 ถึง 169,483 คัน หรือลดลง 26.2 % รถยนต์ที่ทำตัวเลขยอดจำหน่ายได้สูงสุด ประกอบด้วย อันดับ 1 TOYOTA 182,380 คัน ลดลง 37,764 คัน หรือลดลง 17.2 % ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 38.3 % อันดับ 2 ISUZU 71,361 คัน ลดลง 59,895 คัน หรือลดลง 45.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 15.0 % อันดับ 3 HONDA 62,448 คัน ลดลง 14,740 คัน หรือลดลง 19.1 % ส่วนแบ่งการตลาด 13.1 % อันดับ 4 BYD (บีวายดี) 23,532 คัน เพิ่มขึ้น 1,667 คัน หรือเพิ่มขึ้น 7.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 4.9 % และอันดับ 5 MITSUBISHI 22,485 คัน ลดลง 5,795 คัน หรือลดลง 20.5 % ส่วนแบ่งการตลาด 4.7 %
ด้านรถพิคอัพ 1 ตัน ตลาดนี้ซึมยาวเลยทีเดียว เดือนตุลาคม 2567 มีรถพิคอัพหน้าใหม่จากประเทศจีนที่มาพร้อมการใช้พลังงานขับเคลื่อนแบบใหม่ แตกต่างไปจากรถพิคอัพยี่ห้ออื่นๆ ที่ทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน เปิดตัวออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ เสียงตอบรับจะเป็นอย่างไร ไม่นานคงได้คำตอบ
เดือนตุลาคม 2567 ตัวเลขยอดจำหน่ายรวมทั้งหมด 13,347 คัน เทียบกับเดือนตุลาคม 2566 เป็นตัวเลขยอดจำหน่ายที่ลดลง 9,651 คัน หรือลดลง 42.0 % โดยค่าย TOYOTA จำหน่ายได้ 5,787 คัน ลดลง 3,551 คัน หรือลดลง 38.0 % เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ส่วนแบ่งการตลาด 43.4 % อันดับ 2 ISUZU 5,204 คัน ลดลง 4,521 คัน หรือลดลง 46.5 % ส่วนแบ่งการตลาด 39.0 % อันดับ 3 FORD 1,316 คัน ลดลง 1,223 คัน หรือลดลง 48.2 % อันดับ 4 MITSUBISHI 690 คัน ลดลง 287 คัน หรือลดลง 29.4 % ส่วนแบ่งการตลาด 5.2 % และอันดับ 5 NISSAN (นิสสัน) 199 คัน ลดลง 109 คัน หรือลดลง 35.4 % ส่วนแบ่งการตลาด 1.5 %
เดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 พิคอัพขนาด 1 ตัน มีตัวเลขยอดจำหน่ายรวมกันทั้งสิ้น 166,851 คัน ลดลงถึง 112,046 คัน หรือลดลง 40.2 % เมื่อเทียบกับห้วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ค่าย TOYOTA มียอดจำหน่ายสะสมสูงสุด 76,419 คัน เทียบกับห้วงเวลาเดียวกันของปี 2566 แล้วเป็นยอดจำหน่ายที่ลดลง 33,112 คัน หรือลดลง 30.2 % ส่วนแบ่งการตลาด 45.8 % ตามด้วย ISUZU 62,016 คัน ลดลงถึง 55,867 คัน หรือลดลง 47.4 % ส่วนแบ่งการตลาด 37.2 % อันดับ 3 FORD 17,420 คัน ลดลง 13,892 คัน หรือลดลง 44.4 % ส่วนแบ่งการตลาด 10.4 % อันดับ 4 MITSUBISHI 7,257 คัน ลดลง 7,510 คัน หรือลดลง 50.9 % ส่วนแบ่งการตลาด 4.3 % และอันดับ 5 NISSAN 2,481 คัน ลดลง 1,332 คัน หรือลดลง 34.9 % ส่วนแบ่งการตลาด 1.5 %
ตลาดรถเอสยูวี มีรถรุ่นใหม่ๆ มาให้เลือกซื้อเลือกใช้กันแทบทุกเดือน โดยเฉพาะรถจากประเทศจีน เดือนตุลาคม 2567 ตัวเลขยอดจำหน่ายทั้งหมดอยู่ที่ 5,868 คัน ลดลงจากตุลาคม 2566 ถึง 4,460 คัน หรือลดลง 44.3 % ผลพวงจากการลดราคาแบบตะลึงของรถหลายรุ่นหลายยี่ห้อ หรือเปล่าไม่รู้ !
อันดับ 1 ของตลาดนี้เป็นของค่าย TOYOTA จำหน่ายได้ 3,059 คัน ลดลง 374 คัน หรือลดลง 10.9 % เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 52.1 % อันดับ 2 HONDA 778 คัน ลดลงถึง 3,066 คัน หรือลดลง 79.8 % ส่วนแบ่งการตลาด 13.3 % อันดับ 3 BYD 464 คัน ลดลง 963 คัน หรือลดลง 67.5 % ส่วนแบ่งการตลาด 7.9 % อันดับ 4 NETA (เนทา) 418 คัน ส่วนแบ่งการตลาด 7.1 % และอันดับ 5 MG (เอมจี) 277 คัน ลดลง 223 คัน หรือลดลง 44.6 % ส่วนแบ่งการตลาด 4.7 %
ยอดจำหน่ายสะสมรวม 10 เดือนของปี 2567 อยู่ที่ 92,557 คัน เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปี 2566 ประมาณ 2,683 คัน หรือเพิ่มขึ้น 3.0 % ยอดสะสมรวมสูงสุด จากเดือนมกราคม-ตุลาคม 2567 อันดับ 1 เป็นของ TOYOTA 42,872 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ถึง 24,503 คัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 133.4 % ส่วนแบ่งการตลาด 46.3 % อันดับ 2 HONDA 25,108 คัน ลดลง 4,711 คัน หรือลดลง 15.8 % ส่วนแบ่งการตลาด 27.1 % อันดับ 3 BYD 7,302 คัน ลดลง 10,048 คัน หรือลดลง 57.9 % ส่วนแบ่งการตลาด 7.9 % อันดับ 4 GWM (กเรท วอลล์ มอเตอร์) 3,095 คัน ลดลง 2,239 คัน หรือลดลง 42.0 % ส่วนแบ่งการตลาด 3.3 % อันดับ 5 MAZDA (มาซดา) 3,000 คัน ลดลง 3,209 คัน หรือลดลง 51.7 % ส่วนแบ่งการตลาด 3.2 %
สำหรับรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่นๆ เดือนตุลาคม 2567 จำหน่ายได้ 2,917 คัน ลดลง 390 คัน หรือลดลง 11.8 % เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 ผ่านไป 10 เดือนของปี 2567 จำหน่ายรวม 31,521 คัน ลดลง 3,743 คัน หรือลดลงจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา 10.6 % เฉพาะเดือนตุลาคม 2567 มีการจดทะเบียนรถเอสยูวี และรถพิคอัพขนาด 1 ตัน รวมทั้งสิ้น 24,549 คัน ลดลง 8,351 คัน หรือลดลง 25.4 % เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566