ท่านผู้อ่านที่เป็นคนช่างสังเกต น่าจะเคยสงสัย และตั้งคำถามต่อตนเอง แต่ก็หาคำตอบไม่ได้ ไม่ว่าจะจากแหล่งใดก็ตาม ว่าเกือบทุกครั้งที่ได้เห็น หรือได้อ่านข่าวอุบัติเหตุรถชนกัน หรืออาจจะชนสิ่งอื่นใดอย่างรุนแรง เหตุใดผู้โดยสาร หรือแม้แต่ผู้ขับเองก็ตาม จึงมักจะกระเด็นออกมาเสียชีวิตกันนอกรถ ไม่ได้มีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนเลยครับ สาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดขึ้นได้ก็คือ ความประมาท หรือมักง่าย ของผู้ใช้รถชาวไทยจำนวนมาก และมากจนไม่น่าเชื่อครับ ที่ไม่ยอมคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้งๆ ที่มันเป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิตอันล้ำค่า ที่ราคาก็ไม่แพงเลย หรือจะเรียกว่า “ได้ฟรี” ก็ยังได้ เพราะมีกฎหมายบังคับ ให้ผู้ผลิตรถยนต์ติดตั้งมาพร้อมกับรถที่จำหน่ายเสมอ และการคาดเข็มขัดนี้ก็มิได้ลำบากยากเย็นอะไรเลย หรือจะอ้างว่าคาดแล้ว จะต้องเจ็บปวด รำคาญ หรือน่าอับอาย ก็ไม่ใช่ทั้งสิ้นครับ
ถ้าอย่างนั้นแล้ว ทำไมจึงไม่มีในรายงานข่าวแม้แต่คำเดียว ว่าการที่ผู้ขับ หรือผู้โดยสาร กระเด็นออกมาตายนอกรถได้นั้น เพียงเพราะไม่ได้ (หรือให้ถูกต้องกว่า คือ ไม่ยอม) คาดเข็มขัดนิรภัยนั่นเอง หยุดอ่านแค่ตรงนี้ก่อนครับ แล้วลองทายสาเหตุกันดูก่อน ว่าใครจะทายถูกบ้าง ผมขอแนะนำว่า อย่าคิดลึก หรือคิดมาก เพราะจะยิ่งทายผิด ใช่ครับ คำตอบไม่มีอะไรมากไปกว่า การที่ส่วนหนึ่งของทั้งผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่กู้ภัยเอง ก็นิยมการขับรถโดยไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเช่นเดียวกัน ผมไม่ต้องหาข้อมูลจากที่ไหนมาอ้างเลยนะครับ แค่ที่เห็นด้วยตาของตนเองมาเป็นสิบปี ก็พอแล้ว อ้าว ! คนพวกนี้ทำได้อย่างไร ในเมื่อเป็นที่รู้กันอยู่ ว่ามันเป็นการละเมิดกฎหมายจราจร ก็จากการที่ไม่มีกฎหมายจำกัดความเข้มของฟีล์มกรองแสงสำหรับรถยนต์ไงครับ แค่มองก็ยังไม่เห็น แล้วจะให้ตำรวจจราจรจับ และปรับได้อย่างไร
จากสถิติแบบเหมารวม ไม่ต้องเคร่งมาก เราพอจะประมาณได้ว่า จากจำนวนผู้ที่เสียชีวิตที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยทั้งหมด ราวๆ 50 % หรือครึ่งหนึ่ง จะรอดชีวิตได้หากคาดเข็มขัดนิรภัย และราวๆ เกือบครึ่ง หรือ 45 % ของผู้ที่บาดเจ็บจะแทบไม่เป็นอะไรเลย หากคนเหล่านี้มีสำนึกด้านความปลอดภัย และคาดเข็มขัดนิรภัยครับ
เชื่อไหมครับ ว่าถึงแม้จะมีการออกกฎหมายเป็นสากลทั่วโลก ให้ผู้ผลิตรถทุกรายต้องมีระบบเตือนให้คาดเข็มขัดนี้ ทุกครั้งที่ใช้รถ ในรูปของแสงไฟเตือน หรืออาจจะใช้ทั้งแสง และเสียงเตือน ส่วนที่เปล่งแสงจะต้องสว่างพอ จนไม่มีใครจะอ้างได้ว่าไม่เห็น ถึงแม้จะเป็นเวลากลางวันที่แสงแดดจ้าเพียงใดก็ตาม ส่วนเสียงเตือนนั้น ก็จะต้องดังพอ จนเสียงรบกวนจากภายนอก ไม่สามารถกลบได้
หลายบริษัทผู้ผลิต ถึงขั้นเลือกเสียงให้ “กวนประสาท” จะได้รีบเสียบหัวเข็มขัดกันอย่างเร็ว เพื่อให้มันเงียบ แสดงว่าคนไทยที่ตายเพราะไม่คาดเข็มขัด ไม่ว่าจะตายในห้องโดยสาร หรือกระเด็นออกมาจบชีวิตกันนอกรถนั้น สามารถทนเห็นแสงรบกวนที่หน้าปัด หรือทนเสียงเตือนแบบกวนประสาทด้วยความหวังดีนี้ ได้ตลอดเวลาที่ใช้รถหรือ เปล่าเลยครับ ส่วนใหญ่จะใช้หัวเข็มขัดนิรภัย ที่มีแต่หัวล้วนๆ ไม่มีเส้นเข็มขัด เสียบแทนเข็มขัดนิรภัยเส้นจริงของตัวรถครับ เรียกกันในชื่อทางการค้าอย่างเป็นทางการว่า “หัวเข็มขัดนิรภัยหลอก” ความนิยมต่ออุปกรณ์นี้ของคนไทย อยู่ในระดับสูงมากเป็นพิเศษ ผมขอไม่บอกสัดส่วนที่พอจะประเมินเองได้ เพราะอาจจะถูกถามแย้งได้ว่า ไปเอามาจากไหน จึงขอให้ดูจำนวน “บัตรเชิญไปสวรรค์ (หรือนรก)” นี้ จากยอดที่ถูกจำหน่ายออกไปก็น่าจะพอ โดยเฉพาะร้านขายของออนไลน์ยักษ์ใหญ่ “สีส้ม” เห็นแล้วขนลุกครับ บางร้านขายไปแล้วเกิน 10,000 อัน
ในเมื่อมีแต่กฎหมาย ที่ไม่สามารถบังคับใช้อย่างจริงจังได้ ก็คงเหลือเพียงวิธีเดียว คือ หาทางให้ผู้ใช้รถประเภทนี้ ได้ตระหนักถึงอันตราย จากพฤติกรรมที่ทำอยู่ ว่ามันไม่ใช่ความเก่ง หรือความฉลาดเลย ที่สามารถหลีกเลี่ยงระบบเตือนภัยของรถได้ แต่กลับเป็นความอ่อนด้อยทางความคิด หรือไม่ก็เป็นการขาดสำนึกด้านความปลอดภัย ด้วยการรณรงค์โดยสื่อ ในกลุ่มที่เข้าถึงผู้ใช้รถได้มากที่สุดครับ
หลังจากที่ได้รับรู้ผลงานของเจ้าหน้าที่ จำนวน 3 เขตของกรุงเทพฯ ในการรื้อถอน และกำจัดสิ่งปลูกสร้าง ทั้งแบบถาวร และแบบชั่วคราว ที่ละเมิดกฎหมาย และก่อความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนทั่วไปแล้ว ประชาชนทั้งที่เสียภาษี และที่ได้รับการยกเว้น ล้วนตื่นเต้น และยินดีกันพอสมควร โดยเข้าใจว่า บัดนี้นิมิตหมายอันดีได้มาถึงแล้ว จึงต่างจดจ่อรอคอยว่า เจ้าหน้าที่ของเขตใดจะดำเนินการเป็นรายต่อไป ซึ่งเป็นตรรกะที่ปกติธรรมดามาก เพราะสิ่งผิดกฎหมายที่ว่ามานี้ มันกระจายอยู่ทั่วไปในทุกเขตของกรุงเทพฯ ซึ่งมีจำนวนรวมกันถึง 50 เขต แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นความเงียบ ผมได้ยินหลายคนรีบออกมาเยาะเย้ยว่า “บอกแล้วไม่เชื่อ ว่ามันก็แค่ผักชีโรยหน้า” บางคนก็ถามว่า “ไฟไหม้ฟางไง รู้จักมั้ย” ผมอยากให้กลุ่มคนพวกนี้ทายผิดเสียบ้างครับ ถ้าเป็นไปได้ จึงขอให้ผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพฯ ช่วยออกมาชี้แจงให้พวกเราได้ทราบด้วยนะครับ
บทความแนะนำ