ชีวิตอิสระ
ผจญภัยในดินแดนอวตาร
เราใช้เวลาบิน 2 ชั่วโมงจากสุวรรณภูมิ ถึงสนามบินนานาชาติคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามคำเชิญของ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เพื่อร่วมทดสอบสมรรถนะของรถพิคอัพ "อีซูซุ ดี-แมกซ์ รุ่นใหม่หมด" และท่องเที่ยวในสถานที่ที่กำลังฮอทฮิทอยู่ขณะนี้อย่าง จางเจียเจี้ย ดินแดนที่งดงามจากภูมิทัศน์ที่แปลกตา จนกลายเป็นฉากอันยิ่งใหญ่ของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง AVATAR
การเดินทางครั้งนี้เราต้องขับรถผ่านถึง 3 มณฑลของประเทศจีน จากเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ผ่านเมืองไขหลี่ มณฑลกุ้ยโจว และเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน รวมระยะทางไป-กลับกว่า 3,400 กม.
คุนหมิง นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ
กว่าจะถึงคุนหมิงก็ตกเย็นพอดี คุนหมิง เป็นเมืองเอกของมณฑลยูนนาน ทางทิศตะวันตกเฉียงตอนใต้ของจีน (อยู่เหนือจังหวัดเชียงรายไม่เท่าไร) ภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาล้อมรอบ มีทิวทัศน์ที่งดงาม สูงจากระดับน้ำทะเล 1,850 ม. มีแม่น้ำไหลผ่านกว่า 600 สาย แม่น้ำสำคัญที่เรารู้จักดี คือ แม่น้ำอิระวดี และแม่น้ำหลานชางเจียง หรือแม่น้ำโขง นั่นเอง มลฑลยูนนานมีสภาพอากาศที่เย็นสบาย ฤดูหนาวไม่หนาวจัด และฤดูร้อนไม่ร้อนจัด อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี จนถูกขนานนามว่า "นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ" เป็นอีกเมืองหนึ่งที่คนจีนชอบมาฮันนีมูนกัน
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ก็ขอเดินเล่นชมเมืองสักหน่อย อุณหภูมิในวันนี้ไม่ร้อนเท่าไร ประมาณ 24 องศาเซลเซียส ใส่เสื้อยืดบางๆ กำลังสบาย ผู้คนที่นี่ล้วนเร่งรีบ รถราติดขัดจอแจ การขับรถของผู้คนที่นี่ไม่ค่อยมีมารยาทเท่าไรนัก อยากจะเลี้ยวก็เลี้ยวเลย ทางเอกทางโทไม่สนใจ เลยมักจะได้ยินเสียงแตรแทบจะตลอดเวลา
ผมเหลือบไปเห็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งชื่อ "คาร์ฟูร์" ลักษณะเหมือนที่บ้านเราสมัยก่อน ผมไม่รอช้ารีบเดินไปดู ข้าวของที่นี่มีราคาสูงกว่าบ้านเราเกือบทุกอย่าง ไม่ถูกอย่างที่คิดไว้เลย
จากคุณหมิง สู่เมืองไขหลี่
วันต่อมา เราลาเมืองคุนหมิงแต่เช้า เพื่อมุ่งหน้าสู่เมืองไขหลี่ มณฑลกุ้ยโจว ซึ่งเป็นเมืองของชนกลุ่มน้อย ระยะทางประมาณ 700 กม. เราออกเดินทางตามรูปแบบคาราวาน ด้วยรถพิคอัพ อีซูซุ ดี-แมกซ์ ใหม่ ทั้งหมด 15 คัน ระหว่างทางจากเมืองคุนหมิง ไปเมืองไขหลี่ ขบวนคาราวานใช้เส้นทางไฮเวย์หมายเลข G60 ออกจากคุนหมิงไม่นาน ทางก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ วิวตลอด 2 ข้างทางจะผ่านหมู่บ้านชนบทที่มีการเพาะปลูกไร่ชา และการทำนาข้าวแบบขั้นบันได ดูสวยงามมาก
ประเทศจีนเชี่ยวชาญในการตัดเส้นทางผ่านเทือกเขาสูงชัน โดยการระเบิดอุโมงค์ และสร้างสะพานเชื่อม เพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางไปยังจุดต่างๆ ให้สั้นลง ระหว่างการเดินทาง คาราวานได้ลอดผ่านอุโมงค์และสะพานแขวนหลายแห่ง โดยเฉพาะสะพานสำคัญที่ชื่อว่า "เพ่ยหลินปะ" ซึ่งเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน มีความยาวถึง 2,270 ม. เมื่อมองไปข้างใต้สะพาน เราถึงกับตะลึง เพราะวิวที่ได้เห็นนั้น ไม่ต่างจากวิวที่มองผ่านหน้าต่างเครื่องบินเลย
การเดินทางโดยรถยนต์ในประเทศจีน มักพบกับเรื่องไม่คาดคิดเสมอ บ่อยครั้งเส้นทางถูกปิดเป็นเวลาหลายชั่วโมง เพียงเพราะอุบัติเหตุ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่นกัน ก่อนจะถึงเมืองไขหลี่ อีกเพียง 200 กม. รถนำขบวนของเราก็แจ้งว่า ข้างหน้าเกิดอุบัติเหตุ เส้นทางที่เราวิ่งถูกปิดอย่างไม่มีกำหนด เราเลยต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางหลักจากไฮเวย์ ไปใช้เส้นทางเล็กๆ ลัดเลาะผ่านหมู่บ้านด้านล่างแทน บนถนนแคบๆ แบบ 2 เลนสวนกัน เสียงแตรของรถที่บีบใส่กันอย่างดังสนั่น ไม่เกรงใจใคร ล้วนเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เราจึงต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ แต่ก็ได้พบความโชคดีในความโชคร้าย เนื่องจากเส้นทางที่เราวิ่งไปนั้น มีธรรมชาติแวดล้อมที่งดงาม วิถีชีวิตแบบชนบทของจีน ดูเรียบง่ายต่างจากเมืองใหญ่ที่เราผ่านมาอย่างสิ้นเชิง
ฉางซา บ้านเกิดของผู้ยิ่งใหญ่
เช้าวันที่สาม เราตื่นมาพร้อมกับสายฝนที่โปรยปรายลงมาเบาๆ เมืองไขหลี่ที่เราพักเมื่อคืนนั้น เป็นเมืองเล็กๆ ที่รัฐบาลจีนสร้างขึ้นใหม่ เพื่อให้ชนกลุ่มน้อยที่อยู่บนภูเขาได้ลงมาทำมาหากิน การเดินทางในวันนี้ เรามุ่งหน้าสู่เมืองฉางซา ระยะทางรวม 670 กม.
เราต้องเผชิญกับฝนตลอดทั้งวัน จากวิวภูเขาที่สลับซับซ้อน บวกกับถนนที่คดโค้งสวยงาม สร้างความเพลิดเพลินให้กับผู้ร่วมคาราวานยิ่งนัก การเดินทางวันนี้เราผ่านเมืองเส้าหยาง มาจนถึงเมืองเส้ากว้าน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านประธานเหมาเจ๋อตุง รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใจของชาวจีน จากนั้นไม่นานนัก คาราวานเราก็เข้าสู่เมืองฉางซา แม้ชื่ออาจจะไม่คุ้นหูชาวไทยนัก แต่ "ฉางซา" ก็เป็นเมืองขนาดใหญ่ที่มีความเจริญ ซึ่งถ้าดูๆ ไปแล้ว มีความเจริญมากกว่าเมืองคุนหมิงเสียอีก
ฉางซา เป็นเมืองเอกของมณฑลหูหนาน เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งหนึ่งของจีน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของมณฑลด้วย ตลอด 50 ปีที่ผ่านมา เมืองฉางซาได้มีการพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นตามลำดับ จากเดิมที่เป็นเฉพาะการพาณิชย์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ ที่เป็นเมืองอุตสาหกรรมใหม่แบบครบวงจรไปแล้ว ผู้คนที่นี่จึงมีฐานะดี สังเกตได้จากรสนิยมการซื้อรถ มักจะนิยมซื้อแต่รถยุโรป รถญี่ปุ่นหรือรถจีนเองกลับมีน้อย
ตื่นเต้นที่สุดของการเดินทาง
วันที่สี่ของการเดินทาง เหลือระยะทางอีกเพียง 330 กม. เท่านั้นจะถึงจุดหมายปลายทางที่จางเจียเจี้ยกันแล้ว แต่ด้วยเส้นทางหลักของเราได้ปิดถนนเพื่อปรับปรุง ทำให้เราต้องออกจากไฮเวย์ ไปใช้เส้นทางด้านล่างแทน คาราวานต้องวิ่งผ่านชุมชนอันสับสนวุ่นวายของเมืองฉางซาอีกครั้ง เป็นระยะทางกว่า 50 กม. ตลอดทางเราต้องหลบทั้งคนทั้งรถ โดยเฉพาะรถยนต์ที่นี่ บนถนนแคบๆ แบบ 2 เลนสวนกัน เขายังวิ่งกันได้ถึง 3-4 เลน สร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้ร่วมคาราวานเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าการขับรถในช่วงนี้จะทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยพบเจอมาก่อน สนุก และตื่นเต้นดี
หลังจากคาราวานกลับเข้าสู่เส้นทางไฮเวย์แล้ว เรารู้สึกผ่อนคลาย เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ตลอด 2 ข้างทางที่สวยงาม ไม่นานนักก็เข้าเขตเมือง "จางเจียเจี้ย" การเดินทางอันท้าทายครบทุกรสชาติกว่า 1,700 กม. จบลงอย่างสวยงาม โดยเส้นทางขากลับ (จางเจียเจี้ย-คุนหมิง) จะมีสื่อมวลชนอีกกลุ่มหนึ่ง ทำหน้าที่ขับรถกลับแทนเรา และต่อจากนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะได้ท่องเที่ยวกันอย่างเต็มรูปแบบ กันบ้างแล้ว
จางเจียเจี้ย หุบเขาแห่งอวตาร
อุทยานมรดกโลกจางเจียเจี้ย ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนาน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอุทยานแห่งชาติ แห่งแรกของประเทศจีน เมื่อปี 1982 และเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ ในปี 1992 มีเนื้อที่กว่า 369 ตร. กม.
การเดินทางต้องนั่งรถของอุทยานเข้าไปประมาณ 20 นาที ทางที่นี่เป็นทางแคบๆ แต่รถกลับวิ่งกันเร็วมาก พอเวลาสวนกันทีหนึ่งรถเฉียดกันมาก เล่นเอาเราเกร็งไปทั้งตัว เมื่อลงจากรถก็ต่อด้วยลิฟท์แก้วที่สูงถึง 326 ม. เมื่ออยู่ในลิฟท์เราได้เห็นความงดงามของเขาแท่งหินควอร์ทไซท์ หลังจากนั้นเราต้องเดินไปต่อรถอีกราว 5 นาทีเศษก็ถึง
คณะเราต่างยืนอึ้งกับความสวยงามของยอดเขาสูงชันกว่า 3,000 ลูกที่เรียงรายกันอย่างน่าอัศจรรย์ บางลูกมีลักษณะคล้ายบอนไซ บางลูกมีรูปร่างเหมือนดาบเล่มมหึมาปักอยู่ทั่วไป เราเดินตามทางไปเรื่อยๆ พบจุดชมวิวต่างๆ เช่น ยอดเขาประตูสามพรหมจรรย์ ยอดเขาประตูศักดิ์สิทธิ์ ยอดเขาหนังสือสวรรค์ ฯลฯ จนเรามาหยุดที่จุดชมวิว "หวงซือจ้าย" ถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่ ขนาดผู้กำกับมากความสามารถอย่าง "เจมส์ คาเมรอน" ยังเลือกเป็นฉากถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง "AVATAR" เลย เพราะยามที่ยอดเขานับร้อยเหล่านี้ถูกปกคลุมด้วยหมอกบางๆ เป็นความสวยงามที่ยากจะพรรณนาได้เลยทีเดียว
ประตูสวรรค์ เขาเทียนเหมินซาน
วันต่อมา คณะของเราได้เดินทางไป "เทียนเหมินซาน" หรือ "ประตูสวรรค์" โดยครั้งนี้คณะเราได้รับสิทธิพิเศษในการนำรถจากประเทศไทย (อีซูซุ ดี-แมกซ์ ใหม่) เข้าวิ่งบนถนนในอุทยานเป็นครั้งแรก ผ่านโค้งเขาอันสูงชัน รวมกันถึง 99 โค้ง เพื่อไปจอดหน้าทางขึ้น "ประตูสวรรค์" ซึ่งปกติจะไม่อนุญาตให้นำรถขึ้นไปเองอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างอันตราย
เทียนเหมินซาน ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจางเจียเจี้ย ห่างจากตัวเมือง 8 กม. เทียนเหมินซานเดิมเป็นชื่อถ้ำ ตั้งมาตั้งแต่สมัยสามก๊ก ภายหลังใช้เรียกเป็นชื่อภูเขาด้วย ในปี 1999 เทียนเหมินซานมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ไม่ใช่ในฐานะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นสถานที่วัดฝีมือของนักบินชั้นเยี่ยม ในการบินลอดผ่านช่องเขาประตูสวรรค์แห่งนี้ เทียนเหมินซานมียอดสูงสุดถึง 1,518 ม. จากระดับน้ำทะเล มีพื้นที่ 190 ตร. กม. บนยอดเขายังเป็นพื้นที่ป่าดิบที่สมบูรณ์มาก ต้นไม้ใหญ่แต่ละต้นมีอายุนับร้อยปี
การเดินทางสู่ประตูสวรรค์ เขาเทียนเหมินซาน เราต้องนั่งกระเช้ากอนโดลาที่มีความยาวถึง 7.5 กม. จากสถานีในเมือง เราได้ชมความงดงามของภูผานับพันยอด ซึ่งเขาแต่ละลูกเมื่อมองไปแล้วรู้สึกเสียวไส้ยิ่งนัก หลังจากขึ้นไปจุดบนสุดแล้ว ก็ลงมาที่สถานี "จงจ้าน" เพื่อนั่งรถของอุทยานเข้าไป สภาพเส้นทางก็เป็นอย่างที่เห็นจากกระเช้า คือ มีสภาพคดโค้งเป็นก้นหอย สลับไป/มา ที่ดูแล้วชวนเวียนหัวพิลึก ไม่นานนักเราก็มาถึงประตูสวรรค์
"ประตูสวรรค์" ตั้งตระหง่านท่ามกลางสายฝนอันชุ่มช่ำ โดยชาวจีนเชื่อว่าเป็นประตูที่เปิดรับพลังเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ถ้าต้องการเดินขึ้นไปถึงช่องเขาประตูสวรรค์ ต้องเดินขึ้นบันได 999 ชั้น แต่เราไม่เดิน เนื่องจากฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ บวกกับเวลาที่มีจำกัด ไม่นานนักเราก็กลับลงมา
การเดินทางครั้งนี้ทำให้เราได้รู้จักกับธรรมชาติที่งดงามของประเทศจีน ซึ่งยังมีอุทยานธรรมชาติอีกมากมายที่คนทั่วไปอย่างเราไม่รู้จัก และรอให้คุณมาสัมผัส ขอขอบคุณ อีซูซุ ดี-แมกซ์ รุ่นใหม่หมด ที่ทำให้เรามีประสบการณ์ดีๆ ในครั้งนี้
ABOUT THE AUTHOR
ว
วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ/บริษัทผู้ผลิตนิตยสาร 417 ฉบับเดือน สิงหาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)