ผ่านพ้นตัวเลขการขายของปี 2563 มาได้ครึ่งแรกของปีแล้ว ด้วยผลพวงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และระดับโลก ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศและส่งออกหดตัว ทำให้ยอดรวมของการขายรถยนต์ในประเทศ ลดเหลือเพียง 606,132 คัน ตลาดหดตัวไปถึง 43.14 %แต่หากมองจากยอดการผลิตและการส่งออกโดยรวมแล้ว อุตสาหกรรมรถยนต์บ้านเรา ปีนี้หล่นไปอยู้ในระดับต่ำสุด ในเดือนเมษายน ผลิตได้ 24,711 คัน และส่งออกเพียง 20,326 คัน ซึ่งเป็นไปตามสภาวการณ์ที่เกิดโรคระบาดร้ายแรงทั่วโลก แม้ว่าบ้านเราจะปราศจากผู้ติดเชื้อมาเป็นเวลานานนับเดือนแล้ว แต่ในสหรัฐอเมริกา หรือยุโรป หรือในอีกหลายประเทศ ไม่เว้นแม้แต่รอบบ้านเรา ยังมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นประจำทุกวัน ซึ่งส่งผลไปถึงการขาย ไม่เฉพาะรถยนต์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่กระเทือนไปทุกหย่อมหญ้า แต่จากเดือนมิถุนายน เพียงเดือนเดียว ยอดการผลิตของเราก็เพิ่มขึ้นเป็น 71,704 คัน แต่ยังลดลงจากเดิม 58.52 % ส่งออก 50,049 คัน ก็ยังลดลงเช่นกัน 48.71 % ซึ่งก็อยู่ในช่วงกราฟขาขึ้นแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าไม่มีการระบาดรอบ 2 หรือการปิดเมืองเพิ่มขึ้นอีก คนไทยเราก็ต้องช่วยกันรักษาเอาไว้ อย่าให้การ์ดตก เท่านั้นก็น่าจะพอเพียง พี่ใหญ่ของวงการบ้านเรา ออกมาระบุว่า แนวโน้มตลาดปีนี้ เห็นว่าแนวโน้มของตลาดรถยนต์ไทย น่าจะไปในทิศทางที่ดี และสถานการณ์จะไม่แย่เท่ากับที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยหวังว่าประเทศไทยจะเป็นผู้นำในการฟื้นตัวให้กับทวีปเอเชียทั้งหมด ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ นอกจากแนวโน้มเชิงบวกที่จะเห็นได้จากยอดจำหน่ายรายเดือนแล้ว ไทยยังประสบความสำเร็จในการจัดงานแสดงรถยนต์ ที่ต้องเลื่อนมาเนื่องจากการระบาดของ COVID-19 และเมื่อพิจารณาสัญญาณบวกเหล่านี้แล้ว พี่ใหญ่จึงได้ปรับตัวเลขคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ในปี 2563 เป็น 660,000 คัน คิดเป็น 65 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ต้องชมเชยพี่ใหญ่วงการรถยนต์บ้านเรา ก็เรื่องความพยายามรักษาสถานะการจ้างงานของพนักงานทุกคน ในห้วงระหว่างการปิดเมือง เพื่อป้องกันการระบาดของโรค โดยพนักงานขายและพนักงานที่ทำหน้าที่ดูแลหลังการขาย ได้ใช้ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดียในการติดต่อลูกค้า พร้อมเชิญลูกค้านำรถยนต์เข้ามาซ่อมบำรุงที่ศูนย์บริการ หรือจัดให้มีบริการซ่อมบำรุงแบบเคลื่อนที่ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ลูกค้าสามารถดูแลรักษารถยนต์ของตนเองได้ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดนี้ ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และระดับโลก ทำให้ตลาดรถยนต์ในประเทศและส่งออกหดตัวในช่วงไตรมาส 1 และต่อเนื่องถึงไตรมาส 2 ทั้งนี้จากการผ่อนปรนให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ภายใต้มาตรการที่ภาครัฐกำหนด มีการคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่กระนั้น ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายย่อย ยังมีความกังวลต่อสภาพคล่อง และการเข้าไม่ถึงสินเชื่อ ปัญหาการแข็งค่าของเงินบาท รวมทั้งต้นทุนประกอบการสูงขึ้นจากราคาน้ำมัน ราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่งลอจิสติคส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ผู้ประกอบการมีความกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอของกำลังซื้อในประเทศในช่วง 3 เดือนข้างหน้า จากความเปราะบางของเศรษฐกิจ และความกังวลเกี่ยวกับการกลับมาระบาดของไวรัส COVID-19 ในระลอก 2 ขณะที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงฤดูฝนมีไม่มากนัก ดังนั้นมาตรการภาครัฐฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังจาก COVID-19 มีความสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า สภาอุตสาหกรรมฯ จึงนำเสนอข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 1. ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ขอให้การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสนับสนุนการซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ, 2. ขอให้ บสย. เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ตามวงเงินกู้ ธปท. 5 แสนล้านบาทต่อ หลังจากหมด พรก. เงินกู้ฯ เพื่อจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น, 3. ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สิ่งเหล่านี้ ก็เพื่อช่วยให้บรรดาผู้ประกอบการสามารถผ่านพ้นวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้ไปได้ เพื่อให้สามารถกลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้งหนึ่ง ในโอกาสภายภาคหน้า