ผ่านพ้นเดือนสิงหาคมกันมาอย่างทุลักทุเล หลังจากลอคดาวน์กันกินเวลาแรมเดือน โดยเฉพาะบรรดาจังหวัดสีแดงแจ๋ เล่นเอาผมเผ้ายาวกันเป็นมนุษย์ถ้ำทีเดียวแต่ก็อย่างที่พาดหัวเอาไว้หนนี้ ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร จะมี CARMOB หรือขับไล่รัฐบาลกันอย่างไร แต่ในห้วงระยะเวลาที่เกิดโรคระบาดร้ายแรง COVID-19 ที่ทำเอาต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน เป็นเวลาแรมเดือน ยอดการส่งออกของประเทศ ก็ยังคงเติบโตแบบ ฉุดไม่อยู่เหมือนกัน เฉพาะเดือนกรกฎาคม เดือนเดียว การส่งออกมีมูลค่าถึง 22,650 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 20.27 % ขณะที่การนำเข้า มูลค่า 22,467 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 45.94 % ขณะที่เมื่อรวม 7 เดือน ส่งออกไทย มีมูลค่ารวม 154,985 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือนติดต่อกัน 16.20 %, การนำเข้า มีมูลค่า 152,362 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 28.73 % นั่นว่ากันเฉพาะเรื่องภาวะการค้าระหว่างประเทศของบ้านเรา แต่พอหันกลับมาดูยอดการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เดือนกรกฎาคม เดือนเดียว ทำได้ 70,590 คัน เพิ่มขึ้น 42.42 % แม้ว่าตัวเลขจะดูดี เพราะฐานต่ำในปีที่แล้ว โดยการส่งออกลดลงในบางทวีป อาทิ เช่น ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป เนื่องจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศคู่ค้าลดลง แต่เมื่อรวม 7 เดือนเข้าด้วยกัน มกราคม-กรกฎาคม 2564 ส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป 544,079 คัน เพิ่มขึ้น 35.98 % ขณะที่ด้านรถจักรยานยนต์ 7 เดือน ก็ส่งออก 574,183 คัน เพิ่มขึ้น 45.31 % เมื่อรวมมูลค่าการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูป เครื่องยนต์ ชิ้นส่วนอื่นๆ อะไหล่รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ชิ้นส่วน และอะไหล่รถจักรยานยนต์ ทั้งสิ้น 520,161.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.62 % คุยกันเรื่องข่าวดีเป็นการเปิดทางไว้ก่อน มาดูบันทึก ที่นำมาเก็บไว้เป็นเกียรติประวัติสักหน่อย เรื่องแรกก็เรื่องการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือพูดอย่างชาวบ้านก็คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม จะยังคงจัดเก็บในอัตรา 6.3 % ไม่รวมภาษีท้องถิ่น หรือ 7 % ที่รวมภาษีท้องถิ่นแล้ว ต่อไปอีก 2 ปี จนถึง 30 กันยายน 2566 แล้วค่อยมาต่ออายุกันใหม่ ตามมาด้วย แผนงานการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2568 ไทยจะมีสัดส่วนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ 30 % จากสัดส่วนการผลิตรถยนต์ทั้งหมด รวมทั้งการสนับสนุนการปรับใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานสะอาด อันนี้เป็นถ้อยแถลงของ รมต. พลังงาน ที่มีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ติดอยู่ด้วย ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น ส่วนที่ว่าจะทำได้หรือไม่นั้น ยังไม่ทราบนะครับ เพราะพอถึงตอนนั้นแล้ว ใครจะมาคว้าตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ก็ยังไม่ทราบ เอาแค่ตอนนี้ ประชาชนตาดำๆ ทราบเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าได้ระดับรองนายกฯ คุยกับชาวบ้านเขาไว้อย่างนี้ โดยไม่มีการใส่ถุงคลุมหน้าแต่ประการใด อีกเรื่อง เป็นเรื่องของตัวเลขทางเศรษฐกิจประเทศไทย ที่เปิดเผยตัวเลขในไตรมาส 2/2564 สรุปว่า ขยายตัวได้ดีกว่าที่คาด 7.5 % อันเนื่องจากปัจจัยฐานต่ำ และการส่งออกที่เร่งตัวขึ้น ทำให้ครึ่งแรกของปี 2564 ขยายตัว 2.0 % แต่หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า นี้ จะขยายตัวเพียง 0.4 % แสดงว่า แรงเหวี่ยงของเศรษฐกิจไทย ยังอ่อนแอ จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 หรือเพราะยังไม่ได้ตัดผมก็ไม่ทราบ แต่ถึงอย่างไรการแพร่ระบาด COVID-19 มีความรุนแรงกว่าที่เคยประเมิน ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าที่คาดคิด ทำให้มีการปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 1.0 มาเป็น -0.5 % โดยมองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กำลังเผชิญอยู่มีแนวโน้มรุนแรง และลากยาวขึ้นกว่าที่เคยประเมินไว้ เมื่อเดือนกรกฎาคม โดยคาดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันจะแตะระดับสูงสุดในเดือนกันยายน และจะค่อยๆ ลดจำนวนลง แต่กว่าสถานการณ์จะควบคุมได้ หรือจำนวนผู้ติดเชื้อจะลดลงต่ำกว่า 1,000 คน/วัน คาดว่าไม่เร็วไปกว่าไตรมาสที่ 4 ในปี 2564 นี้ และแม้ว่าภาครัฐจะมีมาตรการออกมาเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบกับกลุ่มผู้ประกอบการ และลูกจ้าง ในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการลอคดาวน์ แต่คงไม่สามารถชดเชยผลกระทบได้ทั้งหมด ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่กลับมาเป็นปกติ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องมายังกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว เอาเป็นว่า รักษาตัวรอดเป็นยอดดี คือ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ดูแลสุขภาพของตัวเอง อย่าไปเพิ่มภาระให้แก่แพทย์ หรือพยาบาล ที่ทำงานหนักอยู่แล้ว ให้มากไปกว่านี้ ตั้งการ์ดให้สูงเข้าไว้ ดีที่สุด