Audi ประเทศไทย ตอกย้ำความเป็นผู้นำเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้า ด้วยการเปิดตัว Audi Q5 55 TFSI e หนึ่งในกลุ่ม Audi Plug-in Hybrid รุ่นที่ 3 เจเนอเรชันล่าสุด เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ ด้วยระยะการวิ่งด้วยไฟฟ้าที่เหมาะกับการใช้งานในเมือง สอดคล้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่รถไฟฟ้า 100% อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากความสำเร็จของ Audi Plug-in Hybrid 2 รุ่นแรก คือ Audi Q7 TFSI e และ Audi Q8 TFSI e
นอกจากจะเปิดตัว Audi Q5 55 TFSI e แล้ว Audi ประเทศไทย ยังเปิดตัว Audi Q5 Sportback 55 TFSI e ซึ่งนับเป็นการเปิดตัว Sport SUV ขนาดกลางครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็น Body type ใหม่ ทรง หลังคาท้ายลาดเพิ่มความสปอร์ทให้กับตัวรถอีกด้วย
Audi Q5 55 TFSI e quattro และ Audi Q5 Sportback 55 TFSI e quattro มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 2.0 TFSI ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า ที่ 5,250 - 6,500 รตน. แรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. หรือ 370 นิวตันเมตร ที่ 1,600 - 4,500 รตน. กับมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. หรือ 350 นิวตันเมตร ทำให้มีกำลังรวมสูงสุดถึง 367 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 51.0 กก.-ม. หรือ 500 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ S tronic ส่งกำลังผ่านระบบ quattro with ultra technology โดยระบบขับเคลื่อนจะสามารถปรับให้ขับเคลื่อนล้อหน้าได้ในกรณีที่ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เพื่อช่วยในการประหยัดน้ำมันและจะสามารถเปลี่ยนเป็นระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อได้ทันที เมื่อมีความจำเป็น
นอกจากนี้ ยังมีแบทเตอรีลิเธียมไอออน ซึ่งอยู่ในบริเวณใต้ที่เก็บสัมภาระท้ายรถ ผลิตจาก Prismatic Cell จำนวน 104 เซลล์ ความจุพลังงานแบทเตอรีไฟฟ้าแรงสูงขนาด 17.9 กิโลวัตต์ ซึ่งทำให้อัตราสิ้นเปลืองของ Audi Q5 55 TFSI e quattro อยู่ที่ 52.6 กม./ลิตร และปล่อย co2 เพียง 44.5 กรัม/กม.
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 5.3 วินาที โดยที่ความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 239 กม./ชม. และเมื่อใช้กำลังจากแบทเตอรีไฟฟ้าอย่างเดียว สามารถวิ่งได้ไกลถึง 54.3 กม. และความเร็วสูงสุดของมอเตอร์ไฟฟ้าอยู่ที่ 135 กม./ชม.
ภายใต้โหมดการขับขี่ที่หลากหลายทั้ง Audi Q5 55 TFSI e quattro และ Audi Q5 Sportback 55 TFSI e quattro สามารถตอบโจทย์การขับขี่ได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ด้วยโหมด EV ใช้ไฟฟ้าล้วนเป็นส่วนใหญ่ โหมด Auto เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้งานที่ระยะทางไกล ถ้าต้องการความรู้สึกแบบสปอร์ตและความสนุกสนานในการขับขี่ ก็เลือกโหมดการขับขี่แบบ Dynamic ที่จะมีการทำงานร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ให้ได้กำลังสูงสุด โหมดการขับขี่แบบ Individual เมื่อต้องการปรับการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเอง
เทคโนโลยี Audi Plug-in Hybrid สามารถจัดการรูปแบบการใช้พลังงานในการขับขี่ได้ 2 แบบ คือ EV mode และแบบ Hybrid โดยการจัดการพลังงานแบบ EV mode ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะถูกใช้งานทุกครั้งหลังจากที่สตาร์ทรถ โดยตัวรถจะขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนตราบใดที่ผู้ขับไม่เหยียบคันเร่งลึกกว่าจุดที่กำหนด จึงประหยัดน้ำมันมากที่สุด ส่วนการจัดการพลังงานแบบ Hybrid แบ่งออกเป็น 3 โหมดด้วยกัน โหมด Auto Hybrid ตัวรถจะมีการจัดการการทำงานระหว่างเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างอัตโนมัติ ตามสภาวะการขับขี่ โหมด Battery Hold เป็นโหมดที่จะรักษาระดับพลังงานของแบทเตอรีไว้ให้คงเดิมและ โหมด Battery Charge ตัวรถจะมีการชาร์จแบทเตอรีให้ได้มากที่สุด โดยเครื่องยนต์จะมีบทบาทในการทำงานมากขึ้น
การนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ (Energy Recuperation) เทคโนโลยีการนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ ใน Q5 Plug-in Hybrid ถูกออกแบบมาให้ทำงาน เมื่อผู้ขับขี่ถอนคันเร่งระบบจะประมวลผลการขับขี่ตามสถานการณ์ เพื่อชาร์จไฟคืนกลับสู่แบทเตอรี ซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ การปล่อยให้รถวิ่งในลักษณะลอยตัว (Coasting Recuperation) ซึ่งมอเตอร์ไฟฟ้าจะทำการลดความเร็วลง จากนั้นระบบจะแปลงเป็นการชาร์จไฟคืนกลับสู่แบทเตอรีได้ถึง 25 กิโลวัตต์ และการเบรคชะลอความเร็วด้วยการหน่วงของมอเตอร์ไฟฟ้า (Brake Recuperation) เมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรค เพื่อให้รถชะลอความเร็ว จะสามารถชาร์จไฟคืนกลับสู่แบทเตอรีได้ถึง 80 กิโลวัตต์
Audi Q5 55 TFSI e และ Audi Q5 Sportback 55 TFSI e ติดตั้งแบทเตอรีลิเธียมไอออน ขนาด 17.9 กิโลวัตต์/ชม. มาพร้อมกับ on board charger ขนาด 7.4 กิโลวัตต์/ชม. ใช้เวลาชาร์จประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที เมื่อชาร์จด้วยระบบไฟ Industrial ที่มีแรงดันไฟฟ้า 400 โวลต์ 16 แอมป์ หรือ Wallbox ที่มีกำลังไฟ 7.4 กิโลวัตต์/ชม. เป็นต้นไป ทั้งนี้ยังมาพร้อมกับเครื่องชาร์จแบบ Compact สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้าน
Audi Q5 55 TFSI e มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ S Line และ S Line Black Edition ในรุ่น S Line เป็นรุ่นเริ่มต้น แต่มีชุดแต่ง S Line สี Chromium พร้อมกับล้อขนาด 19 นิ้ว มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน และยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเพียงพอต่อการใช้งาน เช่น ไฟหน้า LED มาพร้อมไฟ daytime เปิดปิดไฟหน้าและปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เบาะคู่หน้าแบบสปอร์ทปรับไฟฟ้า ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ ควบคุมอุณหภูมิแยกอิสระ 3 โซน ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มขับขี่ Comfort key และ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว
ล้อ 19 นิ้ว ใน Audi Q5 55 TFSI e quattro S line
ล้อ 20 นิ้ว Audi Q5 55 TFSI e quattro S line Black Edition
รุ่น S line Black Edition มาพร้อมกับความสปอร์ทที่มากขึ้นด้วยล้อขนาด 20 นิ้ว และชุดแต่ง S Line Black Edition ซึ่งถูกตกแต่งด้วยขอบคิ้วกระจกและช่องลมต่างๆ สีดำ ซึ่งต่างจากตัวเริ่มต้น ที่เป็นสี Chromium ภายในเป็นแบบ S line ด้วยเช่นเดียวกัน พวงมาลัยแบบสปอร์ทท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ S Line เบาะแบบ Sport ลาย Diamond cut หุ้มหนัง Fine Nappa พร้อมสัญลักษณ์ S Line ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang&Olufsen พร้อมระบบ 3 มิติ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist)ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist)
สำหรับ Audi Q5 Sportback 55 TFSI e นอกจากความสปอร์ทด้วยรูปทรงที่ด้านท้ายลาดลงแบบสไตล์รถคูเปแล้ว ยังมาพร้อมกับล้อขนาด 20 นิ้ว และชุดแต่ง S Line Black Edition ซึ่งตกแต่งด้วยขอบคิ้วกระจกและช่องลมต่างๆ สีดำ ซึ่งต่างจากตัวเริ่มต้นที่เป็นสีเงิน ภายในเป็นแบบ S line ด้วยเช่นเดียวกัน พวงมาลัยแบบสปอร์ทท้ายตัด พร้อมสัญลักษณ์ S Line เบาะแบบ Sport ลาย Diamond Cut หุ้มหนัง Fine Nappa พร้อมสัญลักษณ์ S Line
Audi Q5 Sportback 55 TFSI e ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานที่ครบครัน อาทิ ไฟหน้า LED มาพร้อมไฟ daytime เปิดปิดไฟหน้าและปัดน้ำฝนอัตโนมัติ เบาะคู่หน้าแบบสปอร์ทปรับไฟฟ้า ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มขับขี่ Comfort key หน้าจอ Virtual cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติแยกอิสระ 3 โซน ระบบ comfort key หลังคา Panoramic sunroof และระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang&Olufsen พร้อมระบบ 3 มิติ และระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ซึ่งประกอบไปด้วย ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning) ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist)
Audi Q5 55 TFSI e S line มีให้เลือก 3 สี คือ ขาว Glacier White metallic, ดำ Mythos Black metallic ซึ่งจับคู่กับสีภายใน น้ำตาล และ เทา Chronos Grey metallic จับคู่กับสีภายในดำ และ Audi Q5 55 TFSI e Black Edition และ The New Audi Q5 Sportback 55 TFSI e Black Edition สามารถเลือกสีภายนอกได้ถึง 5 สี คือ ขาว Glacier white metallic, ดำ Mythos black metallic, น้ำเงิน Ultra blue metallic, เขียว District green metallic และ เทา Chronos grey metallic จับคู่กับภายในสีดำ
ส่วนเรื่องราคานั้น
Audi Q5 55 TFSI e quattro S line ราคา 3,699,000 บาท
Audi Q5 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 3,950,000 บาท
Audi Q5 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 4,190,000 บาท
โดยจะทยอยส่งมอบในไตรมาสที่ 1 ปี 2566