ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Bentley Mulliner Batur ที่ถือว่าเป็นจุดหักเหของ Bentley ซึ่งปรับเปลี่ยนการออกแบบใหม่ เพื่อรองรับการปรับตัวเข้าสู่สังคมรถไฟฟ้า ด้วยรูปทรงที่สง่างาม และร้อนแรง จึงเป็นที่จับตาของนักออกแบบ แม้แต่สำนักออกแบบ X-Tomi Design Imagines ได้เสนอทางเลือกรูปทรงแบบใหม่ นอกเหนือจากทรงคูเป จนได้ผลงานที่น่าตื่นตะลึง อย่างไรก็ตาม Bentley คงไม่มีวันผลิตแน่นอน
การปรับเปลี่ยนส่วนใหญ่อยู่ที่ส่วนท้ายของห้องโดยสารที่ถูกขยายออก โดยยืดแนวหลังคาออกด้านหลัง, ขยายเนื้อที่กระจกด้านข้าง เสาซีเดิมที่มีทรงลาดเท ถูกปรับให้มีมุมชันมากขึ้น เพื่อรองรับแนวหลังคาที่ยืดมาทางด้านหลัง จนเป็นทรง Shooting Brake (Estate, Station wagon) โคนเสาซีเลื่อนออกไปสุดตัวรถ จนไม่เหลือปีกดักลมอัตโนมัตในด้านหลัง คงไม่ต้องจินตนาการต่อไปอีกสำหรับการปรับยกตัวรถให้สูงแบบรถ เอสยูวี ที่จะทำลายความสวยงามของรถไป
รูปทรงของ Batur เป็นแนวทางในอนาคต รูปทรงของรถ Bentley ว่าจะเป็นอย่างไร ตั้งแต่ชุดโคมไฟกลมในด้านหน้าที่ถูกแทนที่ด้วยโคมไฟทรงเรียวที่ปราดเปรียวกว่า, ชุดกริลล์หน้าถูกออกแบบใหม่, กันชนหน้าลดระดับต่ำลงมีความดุดันมากขึ้น และอีกหลายจุดที่ต่างไปจากรุ่นก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด
ใต้ฝากระโปรงหน้าของ Batur ใช้เครื่องยนต์แบบ W 12 สูบ ทวินเทอร์โบ ความจุ 6.0 ลิตร ให้กำลัง 710 แรงม้า กับแรงบิดสูงสุด 102.0 กก.-ม. นับเป็น Bentley ที่มีกำลังสูงสุดเท่าที่มีมา บริษัทจะบรรลุแผนการผลิตรถทุกรุ่นให้เป็นรถไฟฟ้าภายในปี 2573 ภายในห้องโดยสารของ Batur มีดีไซจ์นของ Bentley Bacalar ที่เปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว ระบบรองรับก้าวล้ำอีกระดับ ด้วยระบบรองรับถุงลม, ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ และลิมิเทดสลิพควบคุมด้วยอีเลคทรอนิคส์
ภายในห้องโดยสาร ใช้วัสดุทนทาน ที่มีให้เลือกได้ 3 อย่าง ทั้งหนัง Scottish, หนัง Italian, และ หนังกลับเทียม Dinamica ก้าวหน้าไปอีกระดับ ด้วยพรมที่ทอขึ้นมาจากเส้นด้ายรีไซเคิล และติดตั้งชิ้นส่วนพิเศษจากทองคำ 18 กะรัต ขึ้นรูปด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
ตามแผนของ Bentley จะผลิต Mulliner Batur แค่ 18 คัน กับราคาเริ่มต้นที่ 1.65 ล้านปอนด์ (ประมาณ 69.9 ล้านบาทในอังกฤษ) ซึ่งทุกคันมีเจ้าของหมดแล้ว และจะส่งมอบได้ในปี 2566

