ธุรกิจ
Carro เผยรายได้ทั้งกลุ่ม พุ่ง 2 เท่า บุกไต้หวัน ญี่ปุ่น

“ประเทศไทยสร้างการซื้อ-ขายกว่า 35,000 คัน/ปี ขณะที่อินโดนีเซียมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ต่อปีกว่า 28.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้บริษัทฯ คาดการณ์รายได้จากธุรกิจค้าปลีกออนไลน์และธุรกิจเสริมของทั้งกลุ่มจะเพิ่มขึ้นเป็น 357.2 ล้านดอลลาร์ ในปีงบการเงิน ปี 2023 นี้ หรือระหว่างเดือนเมษายน ปี 2022-มีนาคม ปี 2023 นี้”
แอรอน กล่าวเสริมว่า ผลประกอบการที่ดีของทั้งกลุ่มนั้นเป็นผลมากจากความสำเร็จของการโฟคัสที่การขายปลีกผ่านทางช่องทางออนไลน์ และการนำเทคโนโลยี Machine Learning เข้ามาใช้ในกระบวนการทำงานของบริษัทเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ Genie Financial Services บริษัทด้านบริการ และเทคโนโลยีการเงิน (Fintech) ในเครือ ยังมีอัต ราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loan) ในระดับต่ำมากที่ 0.1 % และมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity: ROE) ที่ถือว่าสูงมาก ประมาณ 30 % ในปีงบประมาณการเงิน ปี 2022 ขณะที่มีมูลค่าสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้นเป็น 285.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 2 เท่าจากปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้การระดมทุนตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา Carro ได้รับเงินทุนรวมทั้งหมดประมาณ 142.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 9 สถาบันการเงิน ล่าสุด Carro ได้ขยายธุรกิจเปิดสาขาไปยังประเทศไต้หวัน และญี่ปุ่นอีกด้วย
อรรณพ เกษตระทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความสามารถในการสร้างการซื้อขายได้เกินเป้าถึงกว่า 35,000 คัน/ปี ส่วนหนึ่งมาจากการที่ Carro ประเทศไทย มีการพัฒนาพแลทฟอร์มออนไลน์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการขยายศูนย์บริการลูกค้า (Carro Customer Experience Center) และ Carro Auto Mall ไปยังต่างจังหวัด เพื่อให้สามารถส่งมอบบริการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองคุณภาพดีให้กับลูกค้าทั่วประเทศไทย
ในปีนี้ บริษัทฯ ได้เปิด Auto Mall เพิ่มอีกสาขา คือ Carro Auto Mall สาขาชลบุรี (บางแสน) ปัจจุบัน Carro มีศูนย์บริการลูกค้า Carro Auto Mall และคลังจัดเก็บรถยนต์มือสองขนาดใหญ่รวมกว่า 11 แห่งทั่วประเทศ โดย Carro วางแผนขยายสาขาให้ครอบ คลุมทุกจุดยุทธศาสตร์ ครอบคลุมพื้นที่สำคัญของตลาดรถยนต์มือสองทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่สำคัญของประ เทศไทย
วรรษิตรี รุ่งเรืองเนาวรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าการพัฒนาบริการอย่างไม่หยุดยั้งเป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ Carro ประเทศไทย ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้า และสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดตัวบริการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนขายแบบละเอียด หรือ Pre-Delivery Inspection (PDI) กับรถทุกคันทุก 7 วัน ทั้งรถที่อยู่ภายใน Auto Mall และคลังที่จอดรถของ Carro โดยทีมผู้เชี่ยวชาญ
“บริการตรวจสภาพรถก่อนขายแบบละเอียดทุก 7 วัน ถือเป็นการปฏิวัติวงการซื้อขายรถยนต์มือสองเนื่องจากปกติแล้วผู้ขายรถยนต์จะให้บริการตรวจสภาพรถในมาตรฐานนี้เฉพาะเวลาก่อนส่งมอบรถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อเท่านั้น แต่ Carro เห็นความสำคัญในการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าจึงเพิ่มบริการในส่วนนี้ขึ้น โดย Carro ได้ทดลองระบบให้พร้อมเป็นเวลา 3 เดือน และเริ่มดำเนินการตรวจสภาพรถยนต์ก่อนขายแบบละเอียด (PDI) ตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไปเพื่อให้ลูกค้าของ Carro ทั่วประเทศวางใจได้ในความเป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ของเรา”
การตรวจสภาพรถก่อนขายแบบละเอียด หรือ Pre-Delivery Inspection (PDI) ทุก 7 วันนั้น เข้มงวดด้วยมาตรฐาน และระบบจัดการเพื่อเป็นการตรวจสภาพรถโดยทีมผู้เชี่ยวชาญที่อ้างอิงจากการตรวจมาตรฐาน 160 จุด ครอบคลุมตั้งแต่ระบบเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ระบบไฟฟ้า สภาพช่วงล่าง และยาง เป็นต้น ทั้งการตรวจระดับพื้นฐาน 9 รายการ การตรวจภายนอกระดับพื้นฐาน 26 รายการ การตรวจภายในห้องโดยสาร 32 รายการ การตรวจช่วงล่างและใต้ท้องรถ 4 รายการ และการตรวจด้านความสะอาดตามมาตรฐานทั้งภาย นอก และภายในรถอีก 31 รายการ นอกจากนี้ Carro ยังทำการสุ่มตรวจผลการตรวจสภาพรถทุก 2 สัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารถทุกคันของ Carro จะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมให้ลูกค้าของ Carro ขับขี่ได้อย่างไร้ปัญหาในทันทีที่รับรถ


