ในปี 2564 ทาง Continental ได้ผลิตยางระดับ HL หรือ High Load ที่มีค่าดัชนีการบรรทุก 101 รับน้ำหนักได้ 825 กก. ขณะที่รถเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้ยางขนาดเดียวกัน แค่ระดับ SL หรือ Standard Load ที่มีค่าดัชนีการบรรทุก 94 รับน้ำหนักได้ 670 กก.
Continental ได้พัฒนาส่วนประกอบยางขึ้นมาใหม่ที่เรียกว่า Green Chili 2.0 ซึ่งเสียพลังขับเคลื่อนขณะยางเปลี่ยนรูปจากการหมุนน้อยลง ทำให้ความสิ้นเปลืองพลังงานน้อยกว่ายางรุ่นก่อน 15 % ขณะเดียวกันผู้ผลิตยางรายอื่นกำลังพัฒนาส่วนผสมยางที่มีคุณสมบัติ ช่วยลดแรงต้านการหมุนให้น้อยลงเช่นกัน
การออกแบบหน้ายาง ต้องมีการกระจายน้ำหนักที่ดี การออกแบบยางจึงต้องคำนึงถึงหลายด้าน ตั้งแต่เข็มขัดยาง จนถึงเส้นลวดรัดขอบยางเข้ากับขอบล้อ ทุกส่วนมีผลต่อแรงต้านการหมุนของยางทั้งสิ้น ซี่งเป็นเรื่องที่วิศวกรต้องคำนึงถึงในการพัฒนายางสำหรับรถไฟฟ้าที่มีน้ำหนักมาก และแรงบิดสูง
ดอกยางต้องออกแบบให้มีขนาดแตกต่างกัน เพื่อช่วยลดเสียงดังจากยางให้น้อยลง ทาง Continental ได้เพิ่มชั้นโฟมที่ผิวด้านในของยาง ทำหน้าที่ดูดซับเสียงที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือน ซึ่ง Continental ได้เรียกชั้นโฟมโพลียูรีเธนว่า Conti Silent ที่ช่วยลดเสียงรบกวนได้ถึง 9 เดซิเบล
ในขณะที่ Michelin เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า Michelin Acoustic ส่วน Hankook ใช้แนวคิดด้วยการเพิ่มเส้นเล็กๆ ด้านข้างของดอกยาง ช่วยลดเสียงจากลมที่ผ่านร่องยางได้ถึง 8 เดซิเบล 
