เป็นรถซึ่งออกแบบและพัฒนาที่ศูนย์ออกแบบของค่าย เทสลา มอเตอร์ส (TESLA MOTORS) ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองลอสแองเจลิสในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยใช้ชิ้นส่วนหลายชิ้นร่วมกันกับรถที่เกิดก่อน คือ รถซีดานขนาดใหญ่ติดป้ายชื่อ เทสลา โมเดล เอส (TESLA MODEL S) ซึ่งเริ่มจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2012 คนรักรถในเมืองมะกันได้สัมผัสรถแบบใหม่นี้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 อันเป็นช่วงเวลาที่ค่าย เทสลา มอเตอร์ส นำรถคันต้นแบบออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่ศูนย์ออกแบบซึ่งตั้งอยู่ในลอสแองเจลิสดังกล่าวข้างต้น พร้อมคำประกาศยืนยันว่าจะเริ่มส่งรถให้แก่ผู้สั่งจองได้ตอนต้นปี 2014 อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลายอย่างเกี่ยวกับประตูข้างและการระบายความร้อนของมอเตอร์เมื่อมีการพ่วงท้าย ทำให้กำหนดการดังกล่าวต้องเลื่อนออกไป และจำเป็นต้องรอจนถึงวันอังคารที่ 29 กันยายน 2015 นั่นแหละ การเปิดตัวอย่างสมบูรณ์แบบและการส่งรถให้แก่ลูกค้าผู้สั่งจองจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการประกาศเกียรติคุณอย่างอหังการว่าเป็น THE SAFEST, FASTEST AND MOST CAPABLE SPORT UTILITY VEHICLE IN HISTORY หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งที่ปลอดภัยที่สุดและทำอะไรได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ไม่ได้บอกไว้ด้วย ก็คือ เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งแบบเดียวในปัจจุบันที่ไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์แบบใดๆ เพราะติดตั้งระบบขับเคลื่อนทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ทำงานร่วมกับแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ระบายความร้อนด้วยของเหลว ขนาด 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง (75 KWH) หรือ 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง (90 KWH)
ตัวถังอลูมิเนียมเสริมความแข็งแรงด้วยเหล็กกล้า ซึ่งยาว 5.037 ม. กว้าง 2.070 ม. (เมื่อพับกระจกข้าง) และสูง 1.684 ม. วางตัวอยู่บนช่วงฐานล้อยาว 2.964 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านที่เยี่ยมยอดมาก คือ ต่ำเพียง 0.24 หรือต่ำกว่ารถกิจกรรมกลางแจ้งทุกรุ่นทุกแบบที่มีขายในสหรัฐอเมริกาขณะนี้ รูปทรงองค์เอวของตัวถังมีจุดเด่นสะดุดตาสะดุดใจอยู่ไม่กี่จุด จุดสำคัญที่สุด คือ ประตูข้างที่ดูผิดแปลกไปจากรถทุกคันที่วิ่งอยู่บนพื้นโลก กล่าวคือ ประตูคู่หน้าเป็นประตูติดบานพับที่เปิดไปข้างหน้าเหมือนประตูรถทั่วไป แต่คู่หลังเป็นประตูปีกเหยี่ยว (FALCON-WING DOORS) ที่ผู้ผลิตยืนยันว่าทำให้เข้าออกรถได้ง่ายกว่าประตูปีกนกนางนวล (GULL WING DOORS) ภายในห้องโดยสารซึ่งติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้ 6 หรือ 7 คน มีระบบ ULTRASONIC SENSOR ซึ่งสามารถมองทะลุโลหะ ช่วยป้องกันไม่ให้ประตูปีกเหนี่ยวกระทบกระแทกสิ่งกีดขวางใดๆ ขณะที่เปิดหรือปิด และมีระบบกรองอากาศ HEPA FILTER อย่างที่ใช้อยู่ในโรงพยาบาล สามารถตรวจจับได้หากมีไวรัส แบคทีเรีย ไข่ของแบคทีเรีย หรือสปอร์ของพืชชนิดใดๆ หลุดรอดหรือรุกล้ำเข้าไปในห้องโดยสาร
มีรถให้เลือกใช้ 3 โมเดล คือ TESLA MODEL X 75D ซึ่งค่าตัวเริ่มต้นที่ 81,200 เหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับประมาณ 2.84 ล้านบาทไทย TESLA MODEL X 90D ซึ่งค่าตัวเริ่มต้นที่ 96,700 เหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับประมาณ 3.38 ล้านบาทไทย และ TESLA MODEL X P90D ซึ่งค่าตัวแพงที่สุด คือ เริ่มต้นที่ 116,700 เหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับประมาณ 4.08 ล้านบาทไทย
โมเดลแรก คือ TESLA MODEL X 75D ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 193 กิโลวัตต์/259 แรงม้า จำนวน 2 ชุด ชุดหนึ่งขับล้อคู่หน้าอีดชุดขับล้อคู่หลัง และใช้แบทเตอรีขนาด 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งประจุไฟแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 380 กม. สามารถทำอัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ใน 6.0 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 209 กม./ชม. (130 ไมล์/ชม.)
โมเดลถัดมา คือ TESLA MODEL X 90D ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 2 ชุดเหมือนโมเดลแรก แต่เพิ่มขนาดแบทเตอรีเป็น 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ประจุไฟแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกลประมาณ 415 กม. อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 249 กม./ชม. (155 ไมล์/ชม.)
ส่วนโมเดลหัวกะทิ คือ TESLA MODELX P90D ซึ่งเน้นสมรรถนะ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 193 กิโลวัตต์/259 แรงม้าขับล้อคู่หน้า ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 375 กิโลวัตต์/503 แรงม้าขับล้อคู่หลัง และติดตั้งแบทเตอรีขนาด 90 กิโลวัตต์ชั่วโมง ประจุไฟแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกลประมาณ 400 กม. อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ในเวลา 3.8 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 249 กม./ชม. (155 ไมล์/ชม.)
การประจุไฟแบทเตอรีทั้ง 2 ขนาดนี้สามารถทำได้หลายวิธี คือ ประจุไฟที่บ้านด้วยไฟบ้าน ประจุไฟระหว่างการเดินทางที่ศูนย์ประจุไฟซึ่ง เทสลา มอเตอร์ส สร้างขึ้นและเรียกชื่อว่า SUPERCHARGER STATION หรือสถานีซูเพอร์ชาร์เจอร์ และประจุไฟเมื่อถึงจุดหมายปลายทางด้วยไฟบ้านเหมือนวิธีแรก
ค่าไฟฟ้าที่ใช้ในการประจุไฟแบทเตอรีนี้ ค่าย เทสลา ให้ข้อมูลว่า การประจุไฟเพื่อให้รถวิ่งได้ไกล 40 ไมล์ หรือเท่ากับประมาณ 64 กม. ด้วยไฟบ้าน 240 โวลท์ 48 แอมพ์ จะใช้เวลา 1 ชั่วโมง 19 นาที และเสียค่าไฟ 1.82 เหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับประมาณ 64 บาทไทย เมื่อคิดว่าปริมาณไฟฟ้า 1 กิโลวัตต์ชั่วโมง หรือ 1 หน่วย มีราคา 0.12 เหรียญสหรัฐฯ หรือเท่ากับประมาณ 4.20 บาทไทย จึงคำนวณได้ว่าการใช้รถไฟฟ้าแบบนี้จะเสียค่าพลังงานกิโลเมตรละแค่ 1 บาทเท่านั้นเอง ในเมืองไทยเราค่าไฟฟ้าที่ซื้อจากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จะย่อมเยากว่านี้นิดหน่อย คือ ไม่ถึง 4.00 บาท/หน่วย ในกรณีประจุไฟที่สถานีซูเพอร์ชาร์เจอร์จะใช้เวลาเพียง 7 วินาที และไม่ต้องเสียค่าไฟ ปัจจุบันทั้งในทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปยุโรป และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค มีสถานีเติมไฟที่ว่านี้อยู่แล้วมากกว่า 3,000 แห่ง
[table]

