มาตรวัดตลาดรถ
ว่าด้วยเรื่องอนาคต
[table]
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนสิงหาคม 2016/2015
ตลาดโดยรวม,2.6 % รถยนต์นั่ง,11.0 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV),-14.0 % รถอเนกประสงค์ (MPV),24.8 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ,2.9 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ,-31.0 % อื่นๆ,17.0 %เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-สิงหาคม 2016/2015
ตลาดโดยรวม,0.2 % รถยนต์นั่ง,-4.4 % รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV),13.0 % รถอเนกประสงค์ (MPV),17.4 % กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ,1.4 % กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ,-10.1 % อื่นๆ,-4.5 % [/table] จะไม่พูดถึงเสียเลย เดี๋ยวก็จะหาว่าเป็นคนตกยุค ว่าด้วยเรื่องของรถไฟฟ้า ที่กำลังโด่งดังกันในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ประเทศไทย แต่ก่อนจะพูดถึงรถไฟฟ้า ขอชื่นชมยอดการขายเดือนสิงหาคม ที่ฝ่าฟันสภาวะเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นบวกได้เป็นเดือนที่ 4 ทำตัวเลขได้ 63,619 คัน ช่วยให้ยอดรวมโตมากกว่าปีก่อนนิดหนึ่ง 0.2 % ด้วยตัวเลข 492,884 คัน ก็ต้องบอกว่าเป็นข่าวดีของวงการ เพราะยอดขายไม่ตกไปมากกว่านี้อีกแล้ว เนื่องจากไตรมาส 4 จะเป็นไตรมาสของการขายรถ อีกทั้งต้องเจอกับมหกรรมยานยนต์ต้นเดือนธันวาคมนี้ ที่ปีที่ผ่านมาเป็นตัวฉุดยอดขายรถได้ระดับแสนคันเป็นเดือนสุดท้ายของปี มาคุยกันเรื่องอนาคตอย่างที่ว่าเอาไว้ ปัจจุบัน แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์โลกได้เริ่มปรับตัวเข้าสู่การแข่งขันในด้านเทคโนโลยีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า สามารถแบ่งออกได้ 3 ประเภท ได้แก่ 1. รถยนต์ BEV (BATTERY ELECTRIC VEHICLES: BEV) ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรีในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว 2. รถยนต์ไฮบริด (HYBRID ELECTRIC VEHICLES: HEV) ที่เป็นส่วนผสมระหว่างระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจากแบทเตอรี และระบบแบบเดิมที่มีเครื่องยนต์ที่ยังต้องใช้น้ำมัน 3. รถยนต์พลัก-อิน ไฮบริด (PLUG-IN HYBRID ELECTRIC VEHICLES: PHEV) นอกจากจะขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีผสม ระหว่างระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าจากแบทเตอรี และระบบแบบเดิมที่ใช้น้ำมัน ยังสามารถเสียบปลั๊กชาร์จไฟจากภายนอกได้ สะท้อนจากยอดขายรถยนต์ BEV ทั่วโลกในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องโดยเฉลี่ยมากกว่า 70 % ต่อปี โดยคาดกันว่า ส่วนแบ่งตลาดของรถยนต์ BEV ทั่วโลกเทียบกับยอดขายรถยนต์ทั้งหมดน่าจะพุ่งแตะระดับ 2.7 % ได้ในปี 2563 หรือคิดเป็นยอดขายมากกว่า 2.7 ล้านคัน จากที่มีสัดส่วนเพียง 0.36 % ในปี 2558 คิดเป็นปริมาณราว 3.3 แสนคัน แต่ต้องระลึกเอาไว้ก่อน ว่ามติ ครม. ในห้วงที่ผ่านมา เป็นแนวทางเพื่อการใช้สำหรับรถเพื่อการพาณิชย์ หรือรถเมล์ เป็นหลัก ไม่ได้บอกว่าประเทศไทยจะต้องมีรถยนต์นั่ง รถเก๋ง หรือรถกระบะ เป็นรถไฟฟ้าแต่อย่างใด ต้องการให้ใช้เพื่อการขนส่งมวลชนเป็นประเด็นใหญ่ แต่ลองกลับมาดูอุตสาหกรรมยานยนต์บ้านเรา ก็พบว่า ไทยพอจะมีศักยภาพและความพร้อมที่จะต่อยอดและยกระดับไปสู่เทคโนโลยีรถยนต์ BEV ในอนาคต เนื่องจากปัจจุบัน ไทยเป็นฐานในการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนสำคัญแห่งหนึ่งของโลก และมีห่วงโซ่การผลิตที่ครอบคลุมการผลิตชิ้นส่วนที่หลากหลาย โดยเป็นฐานการผลิตของผู้ผลิตชิ้นส่วนระดับโลกเกือบ 60 ราย รวมถึงมีผู้ประกอบการครอบคลุมตลอดห่วงโซ่การผลิตกว่า 2,400 ราย ส่งผลให้ไทยสามารถผลิตรถยนต์หลายรุ่นที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศมากกว่า 80 % ของต้นทุนการผลิตรถยนต์ 1 คัน โดยชิ้นส่วนรถยนต์ส่วนใหญ่ราว 90 % ที่ผลิตในไทยจะเป็นชิ้นส่วนเชิงกล ไม่ว่าจะเป็นโครงรถและตัวถัง (BODY) ระบบกันกระเทือน หรือระบบช่วงล่าง (SUSPENSION) เป็นต้น ซึ่งสามารถต่อยอดเพื่อสนองต่อการผลิตรถยนต์ BEV ในส่วนของชิ้นส่วนร่วมกับรถยนต์แบบเดิม ที่คิดเป็นต้นทุนด้านชิ้นส่วนมากกว่า 40 % ของการผลิตรถยนต์ BEV 1 คัน แต่อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีรถยนต์ BEV ยังคงเป็นเทคโนโลยีใหม่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ซึ่งหลายๆ ภาคส่วนทั้งในกลุ่มของผู้ประกอบการผลิตรถยนต์ ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ ผู้ประกอบการธุรกิจพลังงาน ตลอดจนภาครัฐบาล จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาประมาณหนึ่ง ในการเตรียมความพร้อมก่อนจะเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีรถยนต์ BEV อาจกล่าวได้ว่า ในระยะแรกเป็นระยะเวลาสำหรับการเตรียมความพร้อม ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนส่งเสริมการลงทุน การพัฒนาและยกระดับเทคโนโลยีสำหรับการขับเคลื่อน การปรับตัวของห่วงโซ่การผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนในไทย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จ การเตรียมความพร้อมในด้านทักษะของบุคลากร โดยเฉพาะช่างเทคนิค รวมถึงการพัฒนาศูนย์ให้บริการซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นต้น ซึ่งคาดว่าอาจต้องใช้ระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี ประเด็นใหญ่น่าจะเป็นเรื่องของแบทเตอรี ที่เทคโนโลยีระดับโลก ก้าวไกลไปถึงแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ที่สามารถใช้พลังงานไฟฟ้าเดินทางได้ไม่น้อยกว่า 200 กม./การชาร์จ 1 ครั้งเป็นอย่างต่ำในปัจจุบัน ส่วนเทคโนโลยีที่จะมาควบคุมการทำงานของการใช้พลังงานให้ได้ประโยชน์สูงสุด น่าจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงของวิศวกรชาวไทย จะสามารถพัฒนาได้ในเวลาไม่นานเท่าใดนัก เพราะวิศวกรรุ่นใหม่คนไทย ก็ไปมีโอกาสในการร่วมมือกับผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าระดับโลก อย่างที่เป็นข่าวมาแล้ว อยู่ที่ภาครัฐจะให้การสนับสนุนได้อย่างเป็นรูปธรรมอย่างใดเท่านั้นเองเรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2559
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/141433