ชีวิตอิสระ(4wheels)
อัพเดท สังขละบุรี 2565...เสน่ห์เหมือนเดิม เพิ่มเติมความสดใส
"สังขละบุรี" อำเภอเล็กๆ สุดเขตแดนตะวันตกของจังหวัดกาญจนบุรี ยังคงมีมนต์เสน่ห์ไม่เสื่อมคลาย จากความหลากหลายของเชื้อชาติ และวัฒนธรรม รวมถึงความงามของสายน้ำ และสะพานมอญที่โรแมนทิค "ชีวิตอิสระ" ขอพาแฟนๆ ไปเยือนดินแดนนี้อีกครั้ง
พิสูจน์สมรรถนะ MITSUBISHI XPANDER ใหม่
การเดินทางครั้งนี้ ผมได้คู่หูใหม่อย่าง MITSUBISHI XPANDER (มิตซูบิชิ เอกซ์แพนเดอร์) ที่เพิ่งปรับหน้าตาแบบ MINOR CHANGE ไปหมาด ๆ ดูทันสมัยขึ้นเยอะ โดยเฉพาะไฟหน้ารูปตัว T ที่มาพร้อมไฟตัดหมอก และไฟท้ายใหม่ก็ออกแบบได้ดูลงตัวขึ้นเยอะ แต่สิ่งที่ชอบที่สุด คือ การเปลี่ยนคอนโซลใหม่ ดูแล้วรู้สึกหรูหราขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ที่สำคัญรุ่นนี้มีเบรคมือไฟฟ้าแล้วนะจ๊ะ เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ-สังขละบุรีถึง 6 ชม. กับระยะทางเกือบ 400 กม. โดยเราเลี่ยงรถติดไปใช้ทางหลวง 340 (บางบัวทอง-สุพรรณบุรี) ผ่านแยกบางเลนไป อ. กำแพงแสน แล้วตัดเข้า อ. พนมทวน ไปจนถึงแยกแก่งเสี้ยน แล้วเลี้ยวขวาไปยัง อ. ไทรโยค ตามทางหลวง 323 ผ่านแยก อ. ทองผาภูมิ แล้วเลี้ยวขวาขับรถต่อไปอีก 75 กม. ก็ถึง อ. สังขละบุรี ช่วง 75 กม. สุดท้าย เป็นช่วงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นทางแคบที่คดเคี้ยว และลาดชัน ผมแอบคิดในใจว่า ช่วงล่างของ XPANDER ที่ปรับปรุงใหม่ให้นุ่มขึ้นจะเอาอยู่หรือไม่ ? ปรากฏว่า เอาอยู่ทุกโค้งครับ ไม่ว่าจะโค้งกว้าง โค้งแคบ หรือโค้งตัว S แถมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ที่มาพร้อมเกียร์ CVT ลูกใหม่ก็ให้เรียกกำลังขึ้นเนินชันได้แบบไม่ต้องลุ้น บอกเลยว่า ยิ่งขับยิ่งสนุกสะพานมอญเช้านี้ มีแต่ความสดใส
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ผมชิงตื่นก่อนดวงอาทิตย์ และรีบรุดไปยังสะพานมอญ หรือสะพานอุตตมานุสรณ์ หวังจะได้เห็นแสงแรกของเช้าวันใหม่ กลางผืนน้ำซองกาเรีย และวิถีชีวิตยามเช้าของคนที่นี่ วันนี้เป็นวันที่อากาศดี เพราะฝนเพิ่งหยุดตกไป อุณหภูมิจึงเย็นสบาย ได้เห็นไอหมอกไหลตามสายลมเอื่อยๆ บนผิวน้ำ และเมฆลอยต่ำที่ปกคลุมบนยอดไม้ ครั้งนี้ผมสังเกตว่า มีทั้งเด็กชาย และหญิง ใส่ชุดมอญเดินเรียกนักท่องเที่ยว ให้เข้ามาถ่ายรูป และอาสาเป็นไกด์พาชมสะพานกันเยอะขึ้นมาก จนทำให้ตลอดสะพานมีแต่ความสวยงามสดใส จากการแต่งตัวของเด็กๆ เหล่านี้ สะพานแห่งนี้ แต่เดิมถูกสร้างขึ้นด้วยท่อนซุงของต้นไม้ที่จมน้ำ ในสมัยที่เริ่มสร้าง หลวงพ่ออุตตมะ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนที่นี่ ได้ระดมแรงกายจากชาวมอญที่อยู่อาศัยในละแวกนั้น ดำน้ำลงไปตัดซากไม้ใต้น้ำ เพื่อนำมาสร้างสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้คนไทย กะเหรี่ยง และมอญ ได้ใช้สัญจรไปมาหาสู่กัน รวมถึงเป็นการสร้างความสัมพันธ์ของคนทั้ง 3 กลุ่มอีกด้วย ปัจจุบันสะพานอยู่ในสภาพสมบูรณ์เพราะมีการซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา มีความยาว 850 ม. ถ้าเดินข้ามไปยังฝั่งหมู่บ้านมอญ จะมีทั้งเสื้อผ้า พลอย ไพลิน และผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาชาวบ้านวางจำหน่ายเป็นของที่ระลึก รวมถึงอาหารเช้าง่ายๆ ของชาวมอญ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม กาแฟ ปาท่องโก๋ และขนมของชาวมอญ เล่นเอาผมอิ่มจนพุงกางเลยทีเดียวเมืองบาดาล UNSEEN ที่เลื่องชื่อ
หลังอิ่มหนำจากมื้อเช้า เราเดินทางต่อไปชมเมืองบาดาลด้วยเรือหางยาว ค่าบริการลำละ 300 บาท นั่งได้ 5-7 คน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที หากเป็นช่วงน้ำหลาก จะเห็นแค่ยอดของโบสถ์ แต่หากเป็นช่วงหน้าแล้งราวเดือนมีนาคม-เมษายน น้ำจะลดลงจนตัวโบสถ์โผล่พ้นน้ำทั้งหมด นักท่องเที่ยวสามารถเดินชมได้ทั่วพื้นที่ วัดวังก์วิเวการาม (เก่า) ที่เห็นนี้ ถูกสร้างขึ้นในปี 2496 ในบริเวณที่เรียกว่า "สามประสบ" ซึ่งเป็นจุดที่แม่น้ำ 3 สายมารวมกัน ได้แก่ แม่น้ำซองกาเรีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ต่อมาในปี 2527 ภาครัฐอนุมัติให้สร้างเขื่อนวชิ ราลงกรณ์ หรือเขื่อนเขาแหลม ทำให้น้ำท่วมตัวอำเภอสังขละบุรีเก่า รวมถึงวัดนี้ด้วย หลวงพ่ออุตตมะจึงต้องขนย้ายพระพุทธรูป รวมถึงสิ่งของที่มีค่าต่างๆ ไปไว้ที่วัดวังก์วิเวการาม (ใหม่) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา ปัจจุบันวัดแห่งนี้ถูกขนานนามว่า "วิหารแห่งเมืองใต้บาดาล" และได้รวบ รวมไว้ใน UNSEEN THAILAND ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างชาติ เดินทางมาชมอย่างไม่ขาดสาย ชุมชนมีรายได้จากการให้บริการท่องเที่ยว และแพท่องเที่ยว นอกเหนือจากการทำประมงวัดสมเด็จ และวัดศรีสุวรรณ วัดเก่าที่ถูกลืม
เมื่อชมวัดวังก์วิเวการาม (วัดมอญ) เสร็จแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีก 2 แห่ง ที่พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว นั่นคือ วัดสมเด็จ (วัดไทย) และวัดศรีสุวรรณ (วัดกระเหรี่ยง) วัดสมเด็จ (เก่า) ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับวัดวังก์วิเวการาม (เก่า) เป็นอุโบสถเดิมของวัดสมเด็จก่อนที่จะถูกน้ำท่วมเมื่อคราวย้ายเมืองสังขละบุรี วัดนี้ตั้งอยู่บนเขาเล็กๆ ที่แต่เดิมเรียกว่า "ฝั่งไทย" วัดสมเด็จไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำเหมือนวัดอื่น แต่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน รอบตัวโบสถ์มีต้นไทรเลื้อยเกาะบริเวณหน้าต่างโบสถ์ดูมีมนต์ขลัง ภายในอุโบสถมีพระประธานสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ให้กราบไหว้บูชา โดยสามารถซื้อดอกไม้ธูปเทียนได้จากบนเกาะในราคาชุดละ 10 บาท และยังมีของที่ระลึกจากชาวกะเหรี่ยงให้เลือกซื้ออีกด้วย หลังจากนั้น นั่งเรือต่อไปอีกฝั่งหนึ่งชมวัดศรีสุวรรณ (เก่า) หรือที่เรียกว่า "ฝั่งกระเหรี่ยง" ซึ่งปัจจุบันจะเห็นเพียงแค่โบสถ์เท่านั้น เนื่องจากเป็นวัดที่อยู่ในพื้นที่ต่ำสุด สักการะเจดีย์พุทธคยา แวะชอพด่านเจดีย์สามองค์ เครื่องยนต์ XPANDER ถูกสตาร์ทอีกครั้ง เพื่อเดินทางไปยังวัดวังก์วิเวกา ราม ซึ่งต้องขับอ้อมภูเขาไปอีกประมาณ 6 กม. วัดแห่งนี้ก่อสร้างโดยหลวงพ่ออุตตมะ พระเกจิชื่อดังแห่งสังขละบุรี เริ่มก่อสร้างในปี 2518 แล้วเสร็จเมื่อปี 2529 ใช้ศิลปะแบบเมียนมาร์ มีพระ พุทธรูปหยกขาว งาช้างแมมมอธ และเจดีย์พุทธคยา สร้างแบบจำลองมาจากเจดีย์พุทธคยาในประเทศอินเดีย ฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนนิ้วหัวแม่มือขวา ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร บริเวณใกล้เคียงเจดีย์มีร้านจำหน่ายของที่ระลึกให้เลือกซื้ออยู่หลายร้าน หลังสักการะเสร็จ เราเดินทางต่อไปยังด่านเจดีย์สามองค์ หรือที่เคยรู้จักกันในชื่อ "หินสามก้อน" ซึ่งเป็น จุดแบ่งเขตพรมแดนไทย-เมียนมาร์ ในแนวเทือกเขาตะนาวศรี สถานที่แห่งนี้เป็นเส้นทางเดินทัพที่สำคัญของไทย และเมียนมาร์ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อสินค้าที่มาจากฝั่งเมียนมาร์ได้ในราคาถูก เช่น เครื่องประดับจำพวกพลอย หยก หินสี เฟอร์นิเจอร์ไม้ ชุดโต๊ะเก้าอี้ เครื่องไม้ตกแต่งบ้าน แป้งทานาคา ผ้าโสร่ง ต้นไม้ป่า กล้วยไม้ป่าแผนที่
ที่กิน
มาเยือนสะพานมอญยามเช้าทั้งที สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ การได้นั่งกินโจ๊กร้อนๆ และชาพม่า พร้อมนมข้นปลาท่องโก๋ ผมเลือกร้าน “โจ๊กนั่งยอง” เพราะเป็นร้านที่คนมารีวิวเยอะที่สุด ร้านนี้นอกจากโต๊ะนั่งยองแล้ว ยังมีโต๊ะแบบปกติให้ลูกค้าที่เข่าไม่ดีให้เลือกนั่งด้วย ร้านนี้นอกจากเครื่องดื่มชากาแฟแล้ว ยังมีแผ่นแป้งโรตี แกงฮังเลมอญ ขนมจีบ ซาลาเปาให้เลือกรับประทานกันอีกด้วยที่นอน
สังขละบุรี มีที่พักหลากหลายรูปแบบ ถ้าอยากสัมผัสธรรมชาติของสายน้ำ มีแพที่พักนับร้อยคอยให้บริการ ราคาเริ่มที่ 600-2,500 บาท แต่หากชอบพักโรงแรม หรือรีสอร์ทหรู ก็มีให้มากมายเช่นกัน ทั้งบริเวณใกล้น้ำ จนถึงวิวมุมสูงจากบนเขา ผมเลือกพัก "บ้านแคท & ออยล์" เนื่องจากอยู่ในจุดที่ดีที่สุด สามารถเห็นผืนน้ำ และสะพานมอญได้จากระเบียงห้อง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ ในราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาท เท่านั้นขอขอบคุณ
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะในการเดินทางเรื่องโดย : วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : จินดา ลัยนันท์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2566
คอลัมน์ Online : ชีวิตอิสระ(4wheels)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/434683