บ้านอีต่อง เป็นแหล่งเหมืองแร่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีตกว่า 60 เหมือง แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียงตำนานเล่าขาน ทิ้งไว้เพียงหมู่บ้านที่แสนสงบ และชาวบ้านที่มีมิตรไมตรี ทั้งชาวไทย และชาวเมียนมาร์ ของลูกหลานคนงานเหมืองแร่ในอดีต ที่นี่ยังเต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติ และอากาศบริสุทธิ์ เปรียบเสมือนแรงดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัส
จริงๆ แล้ว ฤดูการท่องเที่ยวของหมู่บ้านอีต่อง คือ ช่วงหน้าหนาวประมาณเดือนตุลาคม เป็นต้นไป (สามารถเที่ยวได้ทั้งปี เพราะมักจะมีฝนตกแทบทุกเดือน) เป็นเวลาที่ร้านค้าต่างๆ ในหมู่บ้านเริ่มเปิดให้บริการกันอย่างคึกคัก แต่ในช่วงหน้าร้อนแบบที่เรามานี้ แม้ร้านค้าต่างๆ จะไม่มากมายนัก แต่ก็ได้บรรยากาศที่เงียบสงบเข้ามาแทน และด้วยความที่เป็นหุบเขาสูง จึงมีสายหมอกในยามเช้า ซึ่งเหมาะกับการพักผ่อน
บ้านบนเขาเทวดา แปรเปลี่ยนเป็นโฮมสเตย์
เคยสงสัยกันไหมว่า “อีต่อง” แปลว่าอะไร หลังจากที่ได้สอบถามชาวบ้านก็ได้ความว่า หมู่บ้านอีต่อง มาจากคำว่า “หมู่บ้านณัตเอ็งต่อง” ซึ่งคำว่า “ณัต” แปลว่า เทพเจ้า หรือ เทวดา “เอ็ง” แปลว่า บ้าน ส่วนคำว่า “ต่อง” แปลว่า ภูเขา เมื่อรวมกันแล้วจึงหมายถึง หมู่บ้านที่อยู่บนเขาเทวดา ต่อมาได้เพี้ยนกลายเป็นหมู่บ้านอีต่อง จนถึงปัจจุบัน
ถ้าใครสังเกตเห็นบ้านดั้งเดิมของคนที่นี่ จะสร้างแบบเรียบง่ายด้วยโครงไม้ และมุงหลังคาด้วยสังกะสี ถ้าบ้านไหนมีฐานะดีก็จะมุงด้วยกระเบื้อง แต่ปัจจุบันได้กลายมาเป็นโฮมสเตย์เกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะบริเวณติดสระน้ำ คงเป็นเพราะความเจริญเข้ามา มีประปาหมู่บ้าน มีไฟฟ้า และสัญญาณโทรศัพท์เข้าถึง รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึก เริ่มมีผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ได้เห็น ไม่ว่าจะเป็นโปสการ์ด แมกเนท ที่เสียบรูป เสื้อผ้า กางเกงชาวเขา เครื่องเงิน และพลอย ให้เลือกซื้อเป็นของฝาก
เดินชมเหมือง และวัดเหมืองปิล๊อก
จากหมู่บ้านอีต่อง แค่เดินข้ามถนนก็เข้าสู่เหมืองปิล๊อกที่เคยรุ่งเรืองในอดีตแล้ว จากคำบอกเล่าทำให้ผมจินตนาการไปถึงความรุ่งโรจน์ของเหมืองปิล๊อกสมัยก่อน ว่ากันว่าหมู่บ้านอีต่องกลายเป็นหมู่บ้านที่มีมากกว่า 1,000 หลังคาเรือน ก็จากเหมืองแห่งนี้ เนื่องจากมีผู้คนเข้ามาทำงานในเหมืองกันมากมาย ที่นี่จึงคึกคัก มีชีวิตชีวา มีการแลกเปลี่ยนค้าขาย สถานบันเทิง โรงบ่อน และมีโรงหนังถึง 2 โรง จนกระทั่งเกิดวิกฤตการณ์ราคาแร่ตกต่ำทั่วโลก เหมืองจำนวนมากทยอยปิดตัวลง คนงานพากันอพยพไปหางานทำที่อื่น หมู่บ้านนี้จึงกลายเป็นหมู่บ้านที่เงียบสงบอีกครั้งหนึ่ง
ปัจจุบันบริเวณเหมืองปิล๊อก ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าชมได้ โดยมีเครื่องจักรต่างๆ ที่ใช้ในการทำเหมืองสมัยก่อน ให้ได้เห็นทั้งรถบรรทุกเก่า รถไถ ถังน้ำมัน เครื่องยนต์ดีเซลต่างๆ หัวจ่ายน้ำมัน ฯลฯ ส่วนด้านบนมีบ้านพัก และสวนผลไม้ให้ชมกันด้วย
เดินถัดไปอีกนิด จะพบกับวัดเหมืองปิล๊อก เป็นวัดศักดิ์สิทธิ์คู่หมู่บ้านอีต่อง ด้านบนมีพระธาตุให้เคารพกราบไหว้ วัดนี้อยู่ติดกับชายแดนไทย-เมียนมาร์ ถูกสร้างขึ้นในยุคที่เหมืองปิล๊อกรุ่งเรืองประมาณ 60 ปีที่แล้ว ตัววัดสร้างในศิลปะแบบเมียนมาร์ โดยมีเจดีย์ทรงเมียนมาร์ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกเล็ก
ชมพระอาทิตย์ขึ้น ที่เนินช้างศึก
เช้าวันรุ่งขึ้น เราเดินทางไปสัมผัสความงดงามยามเช้าที่เนินช้างศึก ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุด อยู่ห่างจากหมู่บ้านอีต่องเพียงแค่ 2 กม. เท่านั้น สามารถมองเห็นภูเขาน้อยใหญ่มากมายสุดสายตา ถ้ามาช่วงหน้าฝน หรือหน้าหนาว จะได้เห็นทะเลหมอกที่สวยงาม และยังสามารถเห็นสันเขาที่กั้นแบ่งเขตประเทศไทย และประเทศเมียนมาร์ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังมองเห็นหมู่บ้านอีต่องได้ทั้งหมู่บ้านอีกด้วย
หากใครชอบกางเทนท์ ที่เนินช้างศึกสามารถกางเทนท์ค้างแรมได้ฟรี มีห้องน้ำ และทหารคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ แต่เนื่องจากสูง ลมจะแรง และอากาศเย็นเป็นพิเศษ จึงต้องเตรียมอุปกรณ์มาให้พร้อม เนื่องจากในตอนเช้าจะมีหมอกหนา แต่ไม่แนะนำให้มาพักในหน้าฝน
น้ำใสไหลเย็น ต้องน้ำตกจ๊อกกระดิ่น
น้ำตกจ๊อกกระดิ่น คือ ความอัศจรรย์ของธรรมชาติแถบนี้ เมื่อพ้นเนินสวรรค์ไปแล้วก็สิ้นสุดทางดินเข้าสู่ถนนลาดยาง จุดหมายต่อไป คือ น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ใช้ทางหลวง 3272 ผ่านอำเภอทองผาภูมิ ไปอีก 67 กม. ก็จะถึงน้ำตกที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก
น้ำตกจ๊อกกระดิ่น ตั้งอยู่ก่อนถึงเนินช้างศึก (ทางไปหมู่บ้านอีต่อง) การเดินทางต้องขับรถลงไปในหุบเขาอีกประมาณ 2 กม. น้ำตกที่ไหลลงมาจากผาหินมีความสวยงาม และใสมากๆ สามารถลงเล่นน้ำได้ เพราะน้ำไม่ลึก แต่ต้องมีเจ้าหน้าที่ดูแล เพราะอาจถูกดูดเข้าไปในจุดที่มีน้ำตกลงมาจนเป็นอันตรายได้ ถ้ามาช่วงฤดูฝนจะน่าชมเป็นพิเศษ ถือเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในแถบนี้
แผนที่เส้นทาง
ที่กิน
หากใครมาที่หมู่บ้านอีต่อง แนะนำให้ลองมาชิมอาหารร้าน “ครัวเจ๊ณี” เนื่องจากเป็นร้านชื่อดังของที่นี่ อาหารขึ้นชื่อส่วนใหญ่เป็นปูทะเลสดๆ และอาหารทะเลจากประเทศเมียนมาร์ นอกจากนี้ ยังมีเมนูพื้นบ้านให้ได้ลองชิมกัน เราสั่ง “ปูดำผัดผงกะหรี่” “ต้มยำปลาคัง” และ “ผัดฉ่าทะเล” อาหารที่นี่อร่อย รสจัด และราคาถูก ใครผ่านมาไปลองชิมกันได้
ที่นอน
โฮมสเตย์ในหมู่บ้านอีต่องมีหลายแห่ง ซึ่งที่พักส่วนใหญ่เป็นบ้านที่นำมาต่อเติมเป็นโฮมสเตย์ เราเลือกพัก “ทางช้างเผือกโฮมสเตย์” เนื่องจากตั้งอยู่บนที่สูง สามารถมองเห็นหมู่บ้าน และเนินช้างศึกได้ชัดเจน ภายในสะอาด มีเครื่องทำน้ำอุ่น ทีวี และพัดลม ด้านบนมีดาดฟ้าให้นั่งดูดาวยามค่ำคืนได้ด้วย ในราคาเริ่มต้นที่ 600 บาท/คืน เท่านั้น
ขอขอบคุณ
บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะในการเดินทาง 
