“ชีวิตอิสระ” ยังอยู่กันที่ทะเลตราด ฉบับนี้เราขอพาไปเปิดประสบการณ์ใหม่ ด้วยการตามหา “จู๋ทะเล” เพื่อรังสรรค์เป็นเมนูเด็ดแบบซาซิมิ จะสนุก และตื่นเต้นแค่ไหน ไปดูกัน
เราเดินทางมายังตัวเมืองตราดอีกครั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังวิสาหกิจชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว ต. น้ำเชี่ยว อ. แหลมงอบ จ. ตราด ตามทางหลวงหมายเลข 3148 ด้วย NEW ISUZU V-CROSS 2024 (อีซูซุ วี-ครอสส์ 2024) รุ่นใหม่ล่าสุด
เส้นทางในตัว อ. เมืองตราด ส่วนใหญ่เป็นถนน 2 เลนสวน และขับกันช้าแบบสโลว์ไลฟ์ เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร เทอร์โบ 190 แรงม้า ที่ให้อัตราเร่งแซงที่ฉับไว จึงไม่ได้แสดงพิษสงเท่าไรนัก แต่กลับได้ความรู้สึกที่นุ่มนวลของช่วงล่างในความเร็วต่ำเข้ามาแทน โดยเฉพาะช่วงที่ทางไม่ดี ดูเหมือนจะเป็นจุดเด่นของ NEW ISUZU V-CROSS 2024 เขาเลย และไม่นานนักเราก็ถึงวิสาหกิจชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว
ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว คือ ตัวอย่างของชุมชนชาวประมงที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของวิถีชีวิตอันเรียบง่าย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ตั้งแต่ก่อนยุคล่าอาณานิคม จนเป็นจุดศูนย์รวมของผู้คนจาก 2 ศาสนา 3 วัฒนธรรม คือ ศาสนาพุทธ และอิสลาม จากวัฒนธรรมชาวไทย ชาวจีน และชาวมุสลิม แม้จะมาจากต่างความเชื่อ ต่างวัฒนธรรม แต่ทุกคนก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข เมื่อกาลเวลาผ่านไปวัฒนธรรมต่างๆ ก็ผสมกลมกลืน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ที่เป็นเสน่ห์เฉพาะของแต่ละวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดี และพร้อมแบ่งปันความสุขให้แก่นักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้าไปเยี่ยมเยียน
ชาวบ้านน้ำเชี่ยวประกอบอาชีพประมงเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากมีคลองน้ำเชี่ยวตัดผ่านไปยังอ่าวไทย เปรียบเสมือนหัวใจหลักที่หล่อเลี้ยงคนในชุมชน นอกจากนี้ บริเวณรอบๆ ยังมีป่าชายเลนที่สมบูรณ์ รวมถึงพื้นที่ทำการเกษตร เช่น สวนยางพารา และสวนผลไม้
ชุมชนบ้านน้ำเชี่ยว ปัจจุบันพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ทั้งด้านวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวจะมาแบบเช้า-เย็นกลับ หรือจะนอนค้างคืนชมวิถีชีวิตแบบโฮมสเตย์ก็มีพร้อม โดยอาจมีกิจกรรมให้สัมผัสถึงวิถีชีวิต เช่น การทำงอบจากใบจาก เอกลักษณ์ของชุมชนแถบนี้ หรือเรียนรู้วิธีทำอาหารพื้นบ้าน รวมถึงนั่งเรือชมคลองน้ำเชี่ยว ทะลุป่าชายเลนออกไปสู่อ่าวไทย เพื่อชมธรรมชาติ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ อย่างชมฝูงเหยี่ยวแดง ป่าโกงกาง และป่าชายเลนในบริเวณรอบๆ ชุมชน เป็นต้น
ไฮไลท์ที่พลาดไม่ได้ คือ การเดินบน “สะพานวัดใจ” หรือ ดวงตาบ้านน้ำเชี่ยว ซึ่งเป็นสะพานไม้โค้งเชื่อม 2 ฝั่งคลองที่สูงปรี๊ด ให้เราเดินข้ามท้าทายความกลัวกันนิดหน่อย แต่วิวที่ได้บอกเลยว่าสวยงามเกินคุ้ม หากมาในช่วงเย็นจะสวยงามเป็นพิเศษ สามารถมองเห็นชุมชนโดยรอบได้ทั้งหมด เป็นจุดถ่ายรูปที่สวยที่สุดในชุมชมเลยก็ว่าได้
ปัจจุบันวิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวบ้านน้ำเชี่ยว ได้เพิ่มกิจกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ ด้วยการพานักท่องเที่ยวนั่งเรือไปยังปากอ่าว เพื่อตามหา หัวมันทะเล หรือ “จู๋ทะเล” อาหารสุดแปลกที่สามารถรับประทานได้แบบสดๆ ที่เราจะไปตามหากันในครั้งนี้
เรานั่งเรือจากหมู่บ้านน้ำเชี่ยวไปยังปากแม่น้ำ ระยะทางประมาณ 5 กม. โดยตลอดเส้นทางจะพบกับป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ กิจกรรมนี้ต้องมาช่วงน้ำลงเท่านั้น เพราะเป็นช่วงที่เราจะดำน้ำหาจู๋ทะเลได้
เมื่อออกปากแม่น้ำมาระยะหนึ่ง เรือก็จอดทอดสมอ โดยจะมีคุณลุงเจ้าเก่า ลงไปเก็บจู๋ทะเลมาให้ ถ้าใครไม่กลัวน้ำ และอยากจะลงไปจับด้วยตัวเองแบบผม ก็สามารถทำได้ เพราะน้ำไม่ลึกมากเราสามารถยืนได้ วิธีการหา คือ ต้องใช้เท้าค่อยๆ กวาดเลนทรายไปรอบๆ ถ้าเจออะไรนิ่มๆ ก็ดำไปจับได้เลย นั่นล่ะ “จู๋ทะเล”
จู๋ทะเลเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับปลิงทะเล เมื่อถูกสัมผัสตัวจะลื่นแข็ง และพ่นน้ำได้ หากปล่อยเอาไว้สักพัก ตัวจะค่อยๆ อ่อนลง คุณค่าทางอาหารเชื่อว่า ช่วยเสริมพลัง และเสริมสมรรถภาพทางเพศ
สมาชิกกลุ่มที่มาด้วยเล่าให้ฟังว่า หัวมันทะเล หรือจู๋ทะเล ปกติมีอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว กระทั่งมีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งแนะนำให้กินจู๋ทะเล เพราะที่เกาหลีเขานิยมกินมานานแล้ว ก่อนโชว์กินให้ดู ทำให้ทางกลุ่มปรึกษากับทางจังหวัด วิจัย และทดลองนำมาเป็นกิจกรรมให้แก่นักท่องเที่ยว
หลังฟังจบก็ได้เวลากิน “จู๋ทะเล ซาซิมิ” กันแบบสดๆ บนเรือ เริ่มที่นำไปล้างด้วยน้ำเปล่า แล้วชำแหละจู๋ทะเลออกเป็นชิ้นๆ เสร็จแล้วล้างด้วยโซดา 1 ครั้ง น้ำสะอาดอีก 1 ครั้ง จากนั้นนำไปแช่ด้วยน้ำแข็ง เมื่อได้ที่ก็เสิร์ฟได้
จู๋ทะเลมีลักษณะคล้ายกับปลาหมึก เมื่อรับประทานพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดบอกเลยว่าอร่อยกว่าที่คิดไว้เยอะ ไม่มีความคาว ไม่มีกลิ่น หรือรสชาติใดๆ เลย จะมีก็แต่ความกรุบๆ สู้ฟัน คล้ายหนังปลาหมึกยักษ์ ผมทานไปเยอะพอสมควร คุ้มแล้วครับ
เมื่อแสงเย็นมาถึง จุดเชคอินสุดท้ายของทริพนี้ ต้องเป็น “ประภาคารแหลมงอบ” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากเป็นแลนด์มาร์คสำคัญในบริเวณนี้แล้ว ยังเป็นสัญลักษณ์เขตสิ้นสุดภาคตะวันออกของประเทศไทยอีกด้วย
บริเวณด้านหลังประภาคาร เป็นท่าเทียบเรือที่สวยงามทอดไปในทะเล ช่วงเย็นจะมีชาวบ้านมานั่งพักผ่อน ตกปลา ออกกำลังกายกันเป็นประจำ
ไม่ไกลกันยังมีอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 ให้เราได้สักการะขอพรอีกด้วย รวมถึงจุดถ่ายรูปแนวๆ STREET ART ที่อยู่บนผนังตึกของชาวบ้านบริเวณนั้น และแน่นอนว่าต้องมีร้านอาหาร และร้านขายของฝากให้เลือกซื้อมากมาย เป็นการปิดท้ายทริพนี้ อย่างสมบูรณ์แบบ
ในเมื่อเราพัก “HELLO BANCHUEN BEACH RESORT” ที่เงียบสงบแล้ว ก็เลยให้ทางรีสอร์ท จัดอาหารทะเลชุดใหญ่ให้เราเสียเลย โดยทางรีสอร์ทเป็นคนหาวัตถุดิบให้ และทำหารโดยแม่ครัวของรีสอร์ทเอง อาหารมื้อนี้มีทั้งปลาหมึกย่าง ปูม้านึ่ง กุ้งทะเลอบเกลือ ปลากะพงราดน้ำปลา และข้าวผัดทะเล รสชาติดีมาก อาหารสดมาก เป็นอีกมื้อหนึ่งที่เราประทับใจ หากใครสนใจสามารถสอบถามทางรีสอร์ทได้
ใครชอบที่พักติดทะเล ในบรรยากาศสไตล์แคมพิง ที่มีความเป็นส่วนตัวสูงมาก ผมขอแนะนำ “HELLO BANCHUEN BEACH RESORT” รีสอร์ทเปิดใหม่ที่ให้บรรยากาศริมทะเลสุดอบอุ่น และโรแมนทิค แถมอยู่ติดกับอ่าวบานชื่น น้ำทะเลจึงใสสะอาด หาดทรายขาวใส ไม่ไกลจากชุมชน และห้องพักมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ในราคาเริ่มต้นที่ 2,000 บาท
บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด ที่เอื้อเฟื้อยานพาหนะในการเดินทาง