ปิด “ระเบียงรถใหม่” ในเดือนแห่งการชุมนุมรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ อีกครั้งหนึ่ง ด้วยผลงานชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของค่าย NISSAN MOTOR COMPANY เป็นรถ NISSAN LEAF (นิสสัน ลีฟ) รุ่นใหม่ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ เมื่อวันพุธที่ 17 มิถุนายน 2025 แต่ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ร่วง (ประมาณไตรมาสสุดท้าย) จึงจะเริ่มการจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลัก
ยักษ์รองเมืองปลาดิบเริ่มบรรจุรถพลังไฟฟ้าติดป้ายชื่อ NISSAN LEAF เข้าสู่สายการผลิตเมื่อปี 2010 เป็นรถพลังไฟฟ้าล้วนๆ แบบแรกของโลกที่มีการผลิตจำหน่ายจำนวนมากๆ รวมทั้งเป็นรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัดที่หน้าตา และรูปทรงองค์เอวดูแปลกตา และไม่เหมือนกันเลยกับรถแบบอื่นๆ ที่ค่ายนี้ผลิตในขณะนั้น รถรุ่นแรกซึ่งสามารถคว้าตำแหน่งเกียรติยศ CAR OF THE YEAR หรือ “รถแห่งปี” ในปี 2011 และตำแหน่งเกียรติยศ JAPAN CAR OF THE YEAR หรือ “รถแห่งปีของญี่ปุ่น” ในปีเดียวกัน อยู่ในสายการผลิตประมาณ 7 ปี จึงถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นที่ 2 ซึ่งก็เป็นรถเก๋งแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัดเช่นกันในปี 2017 ตลอดช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา รถพลังไฟฟ้า NISSAN LEAF 2 รุ่นแรก สามารถขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วประมาณ 700,000 คัน
ส่วนรถรุ่นใหม่ซึ่งเป็นรุ่นที่ 3 นี้ ออกแบบ/พัฒนาที่ศูนย์ออกแบบ NISSAN GLOBAL DESIGN STUDIO ซึ่งอยู่ที่เมือง ATSUGI ในจังหวัด KANAGAWA ของญี่ปุ่น ส่วนฐานการผลิตจะมี 2 แห่ง คือ โรงงานที่เมือง TOCHIGI ในภาคกลางของญี่ปุ่น กับโรงงานที่เมือง SUNDERLAND ในอังกฤษ
เป็นรถที่มีรูปลักษณ์ และคุณสมบัติแตกต่างไปมากจากรถ 2 รุ่นแรก เพราะเปลี่ยนสภาพจากรถเก๋ง 5 ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กกะทัดรัด เป็น SUBCOMPACT CROSSOVER SUV หรือรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ที่ตัวถังส่วนท้ายมีรูปลักษณ์เหมือนรถคูเป เป็นตัวถังยาว 4.350 ม. กว้าง 1.810 ม. และสูง 1.550 ม. ซึ่งมีช่วงฐานล้อยาว 2.690 ม. และมีน้ำหนักตัว 1,789-1,937 กก.
เป็นตัวถังที่ออกแบบโดยใช้พแลทฟอร์มสำหรับรถพลังไฟฟ้าซึ่งมีชื่อว่า CMF-EV PLATFORM ที่เคยพบมาก่อนแล้วในรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่กว่า คือ NISSAN ARIYA (นิสสัน อารียา) ที่เริ่มการผลิตเมื่อปี 2022 และรถพลังไฟฟ้าหลายแบบของ RENAULT (เรอโนลต์) จึงพอจะเข้าใจได้ว่า ในทางเทคนิค รถรุ่นใหม่นี้แทบไม่มีอะไรเลยที่เกี่ยวเนื่องกับรถ 2 รุ่นแรก
จะมีระบบขับให้เลือก 2 แบบ คือ (1) ระบบขับล้อหน้าซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 130 กิโลวัตต์/177 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีขนาดความจุใช้งาน 52 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถจะวิ่งได้ไกล 436 กม. และมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 14.0 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. หรือ 7.1 กม./กิโลวัตต์ชั่วโมง รถที่ติดตั้งระบบขับแบบนี้ จะใช้เวลา 8.6 วินาที ในการทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. และสามารถทำความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. (2) ระบบขับล้อหน้าซึ่งใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 160 กิโลวัตต์/218 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับแบทเตอรีขนาดความจุใช้งาน 75 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเมื่อชาร์จไฟเต็ม และวัดตามมาตรฐาน WLTP รถจะวิ่งได้ไกลถึง 604 กม. และมีอัตราสิ้นเปลืองพลังไฟฟ้าเฉลี่ย 14.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง/100 กม. หรือ 7.0 กม./กิโลวัตต์ชั่วโมง รถซึ่งใช้ระบบขับแบบนี้ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. จะทำได้ใน 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. เท่ากัน
เป็นรถที่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.25 เมื่อเป็นรถสำหรับตลาดยุโรป แต่จะเพิ่มเป็น 0.26 ในรถที่จำหน่ายในญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา