รู้ลึกเรื่องรถ
F1 ฤดูกาลใหม่ กติกาใหม่ ดุดันเร้าใจกว่าเดิม !
ช่วงที่ผ่านมา กระแสความนิยมในการชมการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง เพิ่มขึ้นมากโดยเฉพาะในบ้านเรา ไม่ว่าจะมาจากการมีนักแข่งสายเลือดไทย อย่าง “อเลกซ์ อัลบอน อังศุสิงห์” แห่งทีม WILLIAM RACING ที่สามารถเก็บคะแนนสะสมได้อย่างต่อเนื่องในฤดูกาลนี้ หรือจากการที่ NETFLIX ประสบความสำเร็จจากสารคดีสไตล์เรียลลิทีโชว์ของวงการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง “DRIVE TO SURVIVE” ที่เริ่มต้นฉายต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2019 จนถึงปัจจุบัน โดยหัวใจแห่งความสำเร็จ คือ ผู้กำกับสามารถถ่ายทอดตัวตนของฮีโรนักแข่งแต่ละคน รวมถึงตัวตนของแต่ละทีมออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยการเสนอประเด็นดรามาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันภายใน หรือระหว่างทีม ไปจนถึงความขัดแย้งต่างๆ ในทีม จนทำให้ผู้ชมเกิดความผูกพันกับนักแข่ง และทีมอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
รวมถึงความโด่งดังของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ F1 THE MOVIE ที่สุดยอดนักขับแห่งยุคอย่าง SIR LEWIS HAMILTON (เซอร์ ลูอิส แฮมิลทัน) กับเจ้าพ่อหนังฟอร์มยักษ์ JERRY BRUCKHEIMER (เจอร์รี บรัคไฮเมอร์) จับมือร่วมกันสร้าง กำกับโดย JOSEPH KOSINSKI (โจเซฟ โคซินสกี) เจ้าพ่อแห่งการกำกับภาพแนวอลังการ พร้อมคว้าดาราฮอลลีวูดสุดเก๋าอย่าง BRAD PITT (บแรด พิทท์) มาถ่ายทอดเรื่องราวของวงการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางวิศวกรรมของตัวรถ หรือกลยุทธ์ และลูกเล่นการเอาชนะด้วยการขับแบบทีม ซึ่งผลลัพธ์นั้นอร่อยเหาะถูกใจมหาชน แน่นอนว่า ทั้ง DRIVE TO SURVIVE และ F1 THE MOVIE ได้สร้างกลุ่มแฟนคลับ F1 รุ่นใหม่เพิ่มขึ้นมหาศาล
แต่ในโลกความเป็นจริง การชมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งนั้นค่อนข้างจะน่าเบื่อ โดยเฉพาะในบางสนามอย่างที่โมนาโค ที่ตลอดการแข่งขันแทบจะไม่มีการแซงเกิดขึ้น จะขึ้นนำได้ก็ต้องลุ้นให้คันหน้าแพ้ภัยตัวเอง (ชนกำแพง หรือรถพัง) จนต้องมีการปรับกติกาอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำให้การ “แซง” เป็นไปได้ง่ายขึ้น ช่วยให้เกิดความสนุกเร้าใจ
สำหรับฤดูกาลหน้า ได้กำหนดให้รถแข่งปี 2026 วิ่งทดสอบตั้งแต่เดือนกันยายน 2025 พร้อมกำหนดกติกาใหม่ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้มีเกมการแข่งขันที่เร้าใจ และช่วยให้คนรู้สึกสนุกกับการแข่งขันมากขึ้น
หัวใจของการเปลี่ยนแปลง คือ รถแข่งปี 2026 จะมีน้ำหนักลดลง คล่องตัวขึ้น และจะมาพร้อมระบบอากาศพลศาสตร์ใหม่ พร้อมกับเปิดทางให้ใช้ระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอคทีฟ (ACTIVE AERODYNAMICS) ในขณะที่ขุมพลังยังเป็นแบบไฮบริดที่ทรงพลังกว่าเดิม
ส่วนรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงของกติกาใหม่ สำหรับฤดูกาล 2026-2030 หัวข้อแรก คือ การลดน้ำหนัก และเพิ่มความคล่องตัว เกิดจากการปรับขนาดของตัวรถให้เล็กลง โดยกำหนดให้ฐานล้อสั้นลง 200 มม. หรือ 8 นิ้ว เหลือเพียง 3,400 มม. ส่วนความกว้างลดลง 100 มม. หรือ 4 นิ้ว เหลือเพียง 1,900 มม. นอกจากนี้ ขนาดหน้ายางยังแคบลง โดยล้อหน้าแคบลง 25 มม. ส่วนล้อหลังแคบลง 30 มม. การลดขนาดทั้งหมดนี้รวมแล้วสามารถลดน้ำหนักลงได้ถึง 30 กก. เหลือเพียง 768 กก. โดยกำหนดให้ 722 กก. เป็นน้ำหนักตัวรถ และ 46 กก. เป็นของล้อ และยาง
เรื่องระบบอากาศพลศาสตร์ คณะกรรมการผู้จัดการแข่งขัน หรือเอฟไอเอ (FIA) ตัดสินใจที่จะลดแรงกด หรือดาวน์ฟอร์ศ (DOWNFORCE) ลง 30 % รวมถึงลดแรงดูดให้รถเกาะพื้นจากระบบกราวน์ดเอฟเฟคท์ (GROUND EFFECT) ลงด้วยเช่นกัน เพื่อลดปัญหาจากการใช้ช่วงล่างที่แข็ง และเตี้ยมาก และลดปัญหารถกระเด้งขึ้น-ลง (PORPOISING) ซึ่งเป็นปัญหาติดตัวของรถแข่งฤดูกาลที่ผ่านมา
หากพิจารณาจากภาพจะเห็นชัดเจนว่า จากปี 2020 ถึงปี 2025 และเข้าสู่ปี 2026 รูปแบบของใต้ท้องรถจะแตกต่างกัน นั่นคือ ในปี 2020 พื้นรถเป็นแผ่นเรียบธรรมดาที่มีดาวน์ฟอร์ศราว 55 % แต่กติกาปัจจุบัน คือ 2022-2025 พื้นรถได้รับการออกแบบให้มีการควบคุมจัดกระแสการไหลของอากาศเป็นแบบ VENTURI ทำให้มีประสิทธิภาพของแรงดาวน์ฟอร์ศมากถึง 70 % ขณะที่พื้นรถในกติกา 2026 จะเห็นว่า ประสิทธิภาพของแรงดาวน์ฟอร์ศ จากปรากฏการณ์กราวน์ดเอฟเฟคท์ น่าจะน้อยกว่าของปีปัจจุบันมาก
นอกจากการลดดาวน์ฟอร์ศ พวกเขายังกำหนดให้รถแข่งตามกติกาปี 2026 ลดแรงต้านอากาศ (DRAG) ลง 55 % ส่วนหนึ่งมาจากการยกเลิกกติกา DRS หรือ DRAG REDUCTION SYSTEM (ระบบลดแรงต้านอากาศ) ที่อนุญาตให้นักแข่งใช้ได้เฉพาะจังหวะแซง เมื่อมีการขับไปจ่อท้ายรถคันหน้าเท่านั้น โดยในกติกาใหม่ จะอนุญาตให้นักแข่งเลือกเองว่า จะปรับรถให้มีแรงกด หรือแรงต้านอากาศ มากน้อยด้วยตัวเองผ่านทางปีกหน้า และหลังที่ปรับมุมองศาได้ ระบบนี้มีชื่อว่า X-MODE และ Z-MODE
X-MODE จะเป็นโหมดที่มีแรงต้านอากาศต่ำ (LOW DRAG) โดยปีกหน้า และหลังจะเปิดออกให้อากาศวิ่งผ่านได้สะดวก และในทางกลับกัน Z-MODE (HIGH DOWNFORCE) ปีกหน้า และหลังจะปิด และอยู่ในโหมดสร้างแรงกดสูงสุด เพื่อให้นักขับสามารถเข้าโค้งที่ความเร็วสูงได้ เมื่อผสมผสานกับยาง และตัวถังที่แคบกว่า และน้ำหนักที่เบากว่าเดิม นักแข่งคงต้องปรับตัวกันพักใหญ่เลยทีเดียว
นอกจากนั้น ความเร็วในการเข้าโค้งน่าจะลดจากกริพที่ลดลงของยางหน้าแคบ ทำให้การแซงในทางโค้งยากกว่าเดิม และกว่าที่ทีมใดจะปรับแต่งจนค้นพบส่วนผสมที่ลงตัวที่สุด ก็คงใช้เวลาเกินครึ่งฤดูกาลแน่นอน ซึ่งจะสร้างความสนุกให้การแข่งขันได้ไม่น้อย
ด้านขุมพลัง ยังคงใช้เครื่องยนต์แบบ วี 6 สูบ ความจุ 1.6 ลิตร พ่วงเทอร์โบ และระบบไฮบริด แต่ได้ตัดระบบไฮบริดที่เดิมมี 2 ระบบ ได้แก่ MGU-H และ MGU-K เหลือเพียง MGU-K หรือ “MOTOR GENERATOR UNIT-KINETIC” ซึ่งเป็นระบบกลไกของเครื่องปั่นไฟ ที่เชื่อมต่อกับการหมุนของเพลาข้อเหวี่ยง เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวพลังงาน และเปลี่ยนพลังงานการชะลอความเร็วให้กลายเป็นกำลังไฟฟ้า ส่งไปเก็บไว้ยังแบทเตอรี หรือคาพาซิเตอร์ ซึ่งพลังงานไฟฟ้านั้นสามารถนำกลับมาใช้ย้อนกลับเข้าไประบบ โดยตัว MGU-K จะเปลี่ยนตัวเองจากเครื่องปั่นไฟเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อส่งแรงไปยังเพลาข้อเหวี่ยงในช่วงที่ต้องการอัตราเร่งนั่นเอง
ส่วนระบบ MGU-H หรือ “MOTOR GENERATOR UNIT-HEAT” ที่เป็นเครื่องปั่นไฟ/มอเตอร์ติดตั้งอยู่บนแกนเพลาเชื่อมระหว่างตัวเทอร์โบฝั่งเทอร์ไบน์ และคอมเพรสเซอร์ ถูกยกเลิกการใช้งานไป เพราะไม่คุ้มค่าการลงทุน
ส่วนขนาดความจุของแบทเตอรี ได้รับการขยายขนาดให้ใหญ่ขึ้นจากที่ใช้อยู่ปัจจุบันเกือบ 300 % ทำให้สามารถเพิ่มกำลังของมอเตอร์ MGU-K จากเดิม 120 กิโลวัตต์/163 แรงม้า เป็น 350 กิโลวัตต์/476 แรงม้า ซึ่งจะทำให้มันสามารถเก็บเกี่ยวพลังงานจากการขับได้มากขึ้นเป็น 8.5 ล้านจูล (MJ : MEGAJOULES) ต่อ 1 รอบสนาม อย่างไรก็ตาม กติกากำหนดให้การปลดปล่อยพลังงานในสนามสามารถทำได้เพียง 4 ล้านจูล ต่อ 1 รอบสนามเท่านั้น
นอกจากนั้น กติกาใหม่ที่เพิ่มเข้ามา คือ ในช่วงแซง นักแข่งสามารถเลือกปล่อยพลังงานเพิ่มได้อีก 0.5 ล้านจูล (มันคือปุ่มไนตรัสไฟฟ้าชัดๆ) ซึ่งจะสามารถเพิ่มความเร็วสูงสุดได้มากถึง 337 กม./ชม.
ส่วนพลังงานที่ได้จากเครื่องยนต์สันดาปภายใน ถูกกำหนดให้ลดลงจากเดิม 550-560 กิโลวัตต์/748-762แรงม้า เหลือเพียง 400 กิโลวัตต์/544 แรงม้า ด้วยเหตุผลเรื่องความยั่งยืนทางพลังงาน (SUSTAINABILITY) แต่เมื่อรวมเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าของระบบ MGU-K ที่เพิ่มขึ้น กำลังสุทธิจึงใกล้เคียงกันมาก ประกอบกับน้ำหนักรถที่เบาลง และมีแรงต้านอากาศลดลง ทำให้เชื่อว่า สมรรถนะจะยังคงร้อนแรงไม่ต่างจากเดิม
สุดท้ายเรื่องเชื้อเพลิง กติกาเดิมก่อนปี 2022 จะใช้น้ำมันที่มีการผสมองค์ประกอบชีวภาพ (BIO-COMPONENTS) 5.75 % จากนั้นจึงปรับสู่การใช้น้ำมัน E10 หรือน้ำมันที่มีส่วนผสมของเอธานอล 10 % ในปี 2022 และนับจากปี 2026 เป็นต้นไป จะต้องใช้น้ำมันชนิดพิเศษ หรือ 100 % SUSTAINABLE FUEL ที่ไม่มีส่วนผสมจากน้ำมันที่ได้จากฟอสซิลแม้แต่น้อย โดยน้ำมันสังเคราะห์ชนิดนี้ผลิตขึ้นจากการเก็บเกี่ยวคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศกับไฮโดรเจน เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด ผู้ที่ให้การสนับสนุนน้ำมันสังเคราะห์ คือ ARAMCO
FIA เชื่อว่า การแข่งขันรถสูตรหนึ่งที่เริ่มใช้น้ำมันสังเคราะห์ จะช่วยผลักดันให้มันกลายเป็นน้ำมันที่ใช้ในเครื่องยนต์สันดาปได้ทุกแบบเพียงพอสำหรับรถยนต์กว่า 1.2 พันล้านคัน ภายในปี 2030 ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกในการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ หรือ NET ZERO CARBON ได้แน่นอน
นับจากเดือนกันยายน 2568 เราจะได้เห็นผลการทดสอบรถแข่งฤดูกาล 2026 ทยอยออกมาเรื่อยๆ ต้องจับตาดูว่า ด้วยกติกาใหม่นี้ ทีมใดจะผงาดขึ้นเป็นอันดับ 1 หลังจากที่ฤดูกาล 2025 ช่วง 10 สนามแรก คู่หูนักแข่งทีม McLAREN (แมคลาเรน) สามารถดับรัศมีเจิดจ้าของกระทิงดุ “RED BULL RACING” (เรด บูลล์ เรซิง) ที่กุมบังเหียนโดย MAX VERSTAPPEN (แมกซ์ เวอร์สแตพเพน) ได้สำเร็จ
ABOUT THE AUTHOR
ภ
ภัทรกิติ์ โกมลกิติ
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2568
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ
คำค้นหา