LEXUS IS รถพรีเมียมเมืองปลาดิบ มีทั้งรถเบนซิน และรถไฮบริด

ญี่ปุ่น-เปิดตัวแล้วผ่านสื่อต่างๆ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่เพิ่งผ่านพ้นไป คือ LEXUS IS (เลกซัส ไอเอส) รุ่นใหม่ ซึ่งทั้งในญี่ปุ่น และในสหรัฐอเมริกาที่เป็นตลาดหลักของรถแบบนี้ ต้องรอจนถึงต้นปี 2026 จึงจะเริ่มการจำหน่าย และจะมีรถให้เลือกรวม 3 โมเดล ทั้งรถขับล้อหลัง และรถขับทุกล้อ 

LEXUS IS เป็น COMPACT LUXURY SEDAN หรือรถเก๋งซีดานระดับหรูขนาดเล็กกะทัดรัด และเป็นรถเก๋งซีดานขนาดเล็กที่สุดของยอดผู้ผลิตรถระดับ “พรีเมียม” เมืองปลาดิบ รถอนุกรมนี้รุ่นแรกเริ่มการจำหน่ายเมื่อปี 1999 ตามมาด้วยรุ่นที่ 2 ในปี 2005 และรถรุ่นที่ 3 ในปี 2013 ตลอดช่วงเวลาประมาณ 25 ปีที่ผ่านมา LEXUS IS ทำยอดขายในประเทศ และภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกไปแล้วประมาณ 1.3 ล้านคัน

รถรุ่นใหม่ที่กำลังอวดตัวอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่รถรุ่นที่ 4 แต่เป็นรถรุ่นที่ 3 ที่ได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ “ยกหน้า” อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทำมาแล้ว 2 ครั้งในปี 2020 และ 2021 เป็นการปรับปรุงทั้งในส่วนของตัวถัง และเครื่องยนต์กลไก ตัวอย่างเช่น เปลี่ยนแปลงตัวถังส่วนหน้าซึ่งทำให้ดูเหมือนว่ารถกว้างขึ้น และมีศูนย์กลางความถ่วงอยู่ต่ำลง ติดตั้งกระทะล้ออลูมิเนียมขนาด 19 นิ้วที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ติดตั้งสปอยเลอร์ท้ายที่ออกแบบใหม่ และช่วยเพิ่มคุณสมบัติทางอากาศได้ดีกว่าเดิม แผงหน้าปัดอุปกรณ์ออกแบบใหม่ และใช้จอขนาด 12.3 นิ้ว เพิ่มเติมอุปกรณ์ความปลอดภัย และระบบช่วยขับ ฯลฯ

ในญี่ปุ่น รถรุ่นใหม่นี้จะมีให้เลือกรวม 3 โมเดล คือ รถขับล้อหลัง LEXUS IS 350 FR (เลกซัส ไอเอส 350 เอฟอาร์) กับรถขับทุกล้อ LEXUS IS 350 AWD (เลกซัส ไอเอส 350 ออลล์วีลดไรฟ) ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน และรถขับล้อหลัง LEXUS IS 300H FR (เลกซัส ไอเอส 300 เอช) ซึ่งเป็นรถขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซินทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า

ส่วนในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดต้นกำเนิดของรถ LEXUS จะมีแต่รถ LEXUS IS 350 FR กับ LEXUS IS 350 AWD เท่านั้น โมเดลแรกซึ่งเป็นรถขับล้อหลัง จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 232 กิโลวัตต์/311 แรงม้า ทำงานร่วมกันกับระบบเกียร์อัตโนมัติ DIRECT SHIFT โมเดลหลังซึ่งเป็นรถขับทุกล้อ จะใช้เครื่องยนต์บลอคเดียวกันทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ส่วนการตกแต่ง (TRIM) จะมี 2 ระดับ กำกับด้วยรหัส F SPORT (เอฟ สปอร์ท) กับ F SPORT DESIGN (เอฟ สปอร์ท ดีไซจ์น)