รู้ลึกเรื่องรถ
ขุมพลัง W18 สูบ ความสุนทรีย์ของเครื่องยนต์สันดาปภายใน
เคยคิดไหมว่า ในยุคที่รถไฟฟ้าสามารถปักหมุดทำความเร็วสูงสุดแตะ 500 กม./ชม. ทำไมยังมีการพัฒนาจักรกลสันดาปภายในที่สลับซับซ้อนกันอยู่ เพราะเมื่อไม่นานนี้ สำนักสิทธิบัตรของเยอรมนีได้ประกาศการจดสิทธิบัตรเครื่องยนต์แบบ W18 สูบ ของ PORSCHE (โพร์เช) ให้สาธารณชนได้รับรู้ จนกลายเป็นคำถามว่า “เครื่องยนต์สันดาปภายใน ยังไม่ตายใช่ไหม ?”
เรื่องทำนองนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วกับหลายนวัตกรรม เช่น ในอุตสาหกรรมนาฬิกาที่เคยมีความเชื่อว่า นาฬิกาจักรกลที่ซับซ้อน แต่ไม่เที่ยงตรง แถมยังเปราะบาง จะต้องสูญพันธุ์ เมื่อระบบแบทเตอรี และควอร์ทซ์ (QUARTZ) เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงทศวรรษที่ 70 รวมไปถึงการมาถึงของนาฬิกาดิจิทอล และล่าสุด คือ เหล่าบรรดาสมาร์ทวอทช์ ที่ชาญฉลาด ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่า กลุ่มนาฬิกาใส่ถ่านนั้นครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมนาฬิกา ด้วยความที่มันมีความสะดวก แม่นยำ และชาญฉลาด แต่นาฬิกาแอนาลอกที่ใช้กลไกแบบดั้งเดิมก็ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะจำกัดตัวเองอยู่ในกลุ่มนาฬิการาคาสูง แต่ก็ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค เพราะมันมอบความรู้สึกพิเศษให้ผู้ใช้งาน
ในวงการยานยนต์ รถไฟฟ้าอาจจะเป็นกำลังหลักในกลุ่มรถยนต์สามัญที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ด้วยความที่ขับง่าย เงียบ สั่นสะเทือนน้อย และไม่ปล่อยไอเสีย แต่สำหรับกลุ่มรถสมรรถนะสูง รถสปอร์ท รถสำหรับนักสะสม หรือรถที่ใช้เดินทางไปยังพื้นที่ทุรกันดาร ต่างก็ยังต้องการเครื่องยนต์สันดาปภายในเช่นเดิม
สำหรับกลุ่มรถสมรรถนะสูง เหตุผล คือ เรื่องพลังงาน ซึ่งเป็นที่เข้าใจตรงกันว่า ประสิทธิภาพของมอเตอร์ไฟฟ้านั้นสูงมาก สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นกำลังขับเคลื่อนได้โดยเกิดการสูญเสียต่ำมาก เรียกว่าประสิทธิภาพของมันนั้นอยู่ในระดับ 90 % ในขณะที่เครื่องยนต์สันดาปภายในมีประสิทธิภาพต่ำกว่ามาก สามารถเปลี่ยนพลังงานจากเชื้อเพลิงเป็นกำลังขับเคลื่อนได้อยู่ในช่วง 25-30 % เท่านั้น แต่น้ำมันเชื้อเพลิงเบนซิน 1 ลิตร จะให้พลังงาน 9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ดังนั้นเบนซิน 1 ถัง หรือ 60 ลิตร จะมีพลังงานถึง 540 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งมากกว่ารถไฟฟ้ารุ่นที่แบทเตอรีความจุมากที่สุดในปัจจุบันถึง 5 เท่า !
เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ใช้เบนซินเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีประสิทธิภาพเพียง 25 % จะเทียบเท่ากับรถไฟฟ้าที่ใช้แบทเตอรี 135 กิโลวัตต์ชั่วโมง และหากเป็นดีเซลก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นไปอีกเป็น 10 กิโลวัตต์ชั่วโมง/ลิตร และให้ประสิทธิภาพถึง 30 % เท่ากับน้ำมันดีเซล 60 ลิตร จะให้พลังงานถึง 600 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งประสิทธิภาพ 30 % ก็ยังเทียบเท่ากับรถไฟฟ้าที่ใช้แบทเตอรี 180 กิโลวัตต์ชั่วโมง !
ดังนั้น หากเดินทางไกลยังไงรถน้ำมันก็ได้เปรียบเสมอ แถมหากมีภาชนะบรรจุน้ำมันสำรอง ก็จะยิ่งไปได้ไกลขึ้นอีก โดยเฉพาะบรรดาซูเพอร์คาร์ การมีพลังงานติดตัวมากกว่าเท่ากับการทำความเร็วสูงได้นานกว่า และต้องจอดเพื่อเติมพลังงานน้อยครั้งกว่า เรียกได้ว่าในบางตลาด ระยะปฏิบัติการที่มีความเป็นแอนาลอกยังคงน่าสนใจ ซึ่งค่าย PORSCHE มองจุดนี้ว่ามีความจำเป็น เพราะทุกวันนี้แม้ในตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะเปลี่ยนรถรุ่นขายดีหลายรุ่นให้เป็นรถไฟฟ้า อาทิ ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีขนาดกลาง อย่าง MACAN (มาคัน) และรถสปอร์ทรุ่นเริ่มต้นอย่าง CAYMAN (เคย์แมน) แต่พโรเจคท์ต้องถูกชะลอไว้ก่อน เพราะยอดขายของรถสปอร์ทพลังไฟฟ้าไม่เป็นไปตามคาด จริงอยู่ที่อัตราเร่งของรถไฟฟ้านั้นรวดเร็วทันใจ แต่ดูเหมือนว่าลูกค้าของพวกเขาไม่ได้สนใจในเรื่องนั้น ประกอบกับเทคโนโลยีของแบทเตอรีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว และยังไม่นิ่งพอสำหรับการนำมาใช้ในรถรุ่นใหม่ตอนนี้ แต่ในอนาคตอีก 4-5 ปี นั้นไม่แน่
สำหรับแนวคิดของขุมพลัง W18 สูบ ที่ยื่นขอสิทธิบัตรไปนี้มันจะเหมาะกับอะไร ก่อนอื่นต้องบอกว่า แม้เราจะเคยเห็นเครื่องยนต์ที่มีชื่อว่า W กันมาบ้างแล้ว อาทิ เครื่องยนต์ของค่าย VOLKSWAGEN (โฟล์คสวาเกน) ไม่ว่าจะเป็นที่ประจำการใน BENTLEY (เบนท์ลีย์) และ BUGATTI (บูกัตตี) แต่มันมีความแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เพราะเครื่อง W ในอดีตแท้จริงแล้วมันคือ การนำเครื่องยนต์แบบ V ที่มีมุมองศาของชุดกระบอกสูบแต่ละฝั่งแคบมาก หรือที่เรียกกันว่าเครื่องยนต์แบบ VR มาวางเข้าด้วยกันดังภาพ ซึ่งจะแตกต่างกันกับรูปแบบที่ยื่นจดสิทธิบัตรโดยสิ้นเชิง
รูปแบบเครื่องยนต์ของ PORSCHE ที่ยื่นจดสิทธิบัตรนั้นเห็นชัดเจนว่า เป็นเครื่องยนต์ที่มีแนวของกระบอกสูบ (CYLINDER BANK) 3 แนว วางทำมุมกัน 60 องศา โดยเครื่องยนต์ในภาพวาดนี้แสดงให้เห็นว่า มันได้นำเอาเครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง 3 ชุดมาอยู่ด้วยกัน ทำให้เกิดเป็นเครื่องยนต์ 18 สูบ ซึ่งหากลดจำนวนลงเป็นแนวละ 4 สูบ ก็จะได้เป็นเครื่องยนต์ W12 สูบ และถ้าเป็นแบบ 3 สูบเรียงจับเข้าหากัน ก็จะได้เครื่องยนต์ W9 สูบ ถามว่าเป็นไปได้ไหม ต้องบอกว่าเป็นไปได้สูงมาก เพราะปัจจุบันเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเครื่องยนต์แบบนี้กับเครื่องยนต์สมรรถนะสูงทั่วไปในปัจจุบัน คือ การออกแบบเส้นทางของไอดี (INTAKE) และไอเสีย (EXHAUST) โดยเครื่องยนต์สมรรถนะสูงทั่วไป นิยมการออกแบบฝาสูบแบบครอสส์โฟลว์ (CROSS FLOW CYLINDER HEAD) คือ ลิ้นไอดี (INTAKE VALVE) กับลิ้นไอเสีย (EXHAUST VALVE) อยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการดูดอากาศเข้าห้องเผาไหม้ พร้อมไล่ไอเสียที่เกิดจากการสันดาปออกได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นชัดว่าเครื่องยนต์ฝั่งหนึ่งจะเป็นฝั่งของท่อร่วมไอดี (INTAKE MANIFOLD) และอีกฝั่งจะเป็นที่อยู่ของ ท่อร่วมไอเสีย (EXHAUST MANIFOLD) ข้อดีของการออกแบบลักษณะนี้ คือ อุณหภูมิของฝั่งท่อร่วมไอดีจะต่ำ ทำให้มีความหนาแน่นของอากาศ ช่วยให้เผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แต่สำหรับเครื่องยนต์แบบ W หากใช้แนวคิดการออกแบบฝาสูบแบบครอสส์โฟลว์ เราจะเห็นว่าจำเป็นต้องมีท่อร่วมไอดีของแนวกระบอกสูบ (CYLINDER BANK) ทำให้แนวกระบอกสูบแนวใดแนวหนึ่งได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิของท่อร่วมไอเสียที่แผ่เข้ามาหา ส่งผลให้ประสิทธิภาพของแนวกระบอกสูบชุดนั้นต่ำ ดังนั้นจึงต้องสร้างรูปแบบของการเดินทางของไอดี-ไอเสียใหม่
วิธีการที่วิศวกรของ PORSCHE เลือก คือ การใช้กล่องดักอากาศ (AIR COLLECTOR) แยกเป็นเอกเทศสำหรับแนวกระบอกสูบแต่ละแนว โดยอากาศ หรือไอดีจะถูกลำเลียงเข้าสู่ห้องเผาไหม้จากด้านบน ส่วนไอเสียจะถูกปล่อยออกไปด้านซ้าย หรือขวาของแนวกระบอกสูบตามความเหมาะสมของการออกแบบ ซึ่งดูแล้วน่าจะมีประสิทธิภาพสูงไม่น้อย เพราะไอดีจะมีอุณหภูมิที่ต่ำ และถูกดูดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ได้อย่างรวดเร็วในจังหวะที่ลูกสูบเคลื่อนที่ลง
จากภาพวาดที่ยื่นจดสิทธิบัตร มีการระบุชัดเจนว่า แต่ละจุดหมายถึงอะไร ดังนี้
- เครื่องยนต์สันดาปภายใน (INTERNAL COMBUSTION ENGINE)
- แนวกระบอกสูบฝั่งที่ 1 (FIRST CYLINDER BANK)
- กระบอกสูบ (CYLINDER)
- แนวกระบอกสูบฝั่งที่ 2 (SECOND CYLINDER BANK)
- แนวกระบอกสูบฝั่งที่ 3 (THIRD CYLINDER BANK)
- ฝาสูบแนวที่ 1 (FIRST CYLINDER HEAD BANK)
- ฝาสูบแนวที่ 2 (SECOND CYLINDER HEAD BANK)
- ฝาสูบแนวที่ 3 (THIRD CYLINDER HEAD BANK)
- ฝาสูบ (CYLINDER HEAD)
- ท่อสำหรับป้อนเชื้อเพลิง (INLET DUCT)
- ลิ้นไอดี (INTAKE VALVE)
- ทางเดินไอเสีย (EXHAUST CHANNEL)
- ลิ้นไอเสีย (EXHAUST VALVE)
- แนวการขึ้น-ลงของลูกสูบ (RECIPROCATING PISTON)
- ก้านสูบ (CONNECTING ROD)
- ข้อเหวี่ยง (CRANKSHAFT)
- กล่องเก็บอากาศ (AIR COLLECTOR)
- แกนของการหมุน (AXIS OF ROTATION)
- แกนของกระบอกสูบ (CYLINDER AXIS)
- ชุดระบบไอเสีย (EXHAUST GAS DISCHARGE DEVICE)
- ชิ้นส่วนแรก (FIRST PART)
- ด้านแรก (FIRST SIDE)
- ชิ้นส่วนที่ 2 (SECOND PART)
- ด้านที่ 2 (SECOND SIDE)
- ปากทางเดินไอเสีย (EXHAUST PORT)
- ทางออกของไอเสีย (OUTLET OPENING)
- ปากทางเข้ากล่องอากาศ (COLLECTOR INLET)
- ลิ้นคันเร่ง (THROTTLE VALVE)
- ท่อไอเสีย (EXHAUST PIPE)
- กลุ่มของท่อไอเสีย (EXHAUST PIPE ASSEMBLY)
- ชุดกรองไอเสีย (EXHAUST GAS PURIFICATION UNIT)
- พื้นที่ด้านบน (TOP SURFACE)
SA = ทิศทางการไหลของไอเสีย
SF = ทิศทางการไหลของไอดี
จากภาพจะเห็นว่ามีแนวท่อไอเสียเต็มไปหมดถึง 12 ชุดเลยทีเดียว แต่ไม่ต้องตกใจ เพราะนั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีจุดที่เป็นไปได้กี่จุดเท่านั้น ไม่ได้แปลว่าจะติดตั้งทุกจุด แต่หากจะออกแบบเพื่อติดตั้งเยอะขนาดนั้นให้มันสามารถปล่อยไอเสียได้ไหลโล่งหมดจดเลยก็ทำได้เช่นกัน
หากคาดเดากันแบบง่ายๆ ในยุคปัจจุบัน เครื่องยนต์สมรรถนะสูงแบบไม่มีเทอร์โบ สามารถให้กำลังระดับ 100 แรงม้า/ลิตร และเครื่องยนต์แบบ 6 สูบแถวเรียง ความจุ 3.0 ลิตร จะให้กำลัง 300 แรงม้า ดังนั้น ขุมพลัง W18 สูบ นี้ก็น่าจะให้กำลังได้ถึง 900 แรงม้า แต่เชื่อว่าพวกเขาจะไม่หยุดแค่นั้น เพราะหากพ่วงเข้ากับระบบเทอร์โบ แรงม้ากำลังระดับ 1,800 แรงม้า ก็น่าจะมีออกมาให้ใช้งานได้สบายๆ
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วค่าย PORSCHE ก็อาจไม่ผลิตเครื่องยนต์บลอคนี้ออกมาก็ได้ เพราะที่ผ่านมาพวกเขามีสิทธิบัตรที่ไม่ได้ผลิตจริงอยู่ไม่น้อย โดยก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะฮือฮากันกับการยื่นจดสิทธิบัตรเครื่องยนต์แบบ 6 จังหวะ
เอาจริงๆ ก็แอบหวังจะได้เห็นขุมพลัง W18 สูบ ผลิตออกมาประจำการในซูเพอร์คาร์สักคัน เพราะมันคือ ศิลปะแห่งยนตรกรรมที่งดงามในยุคที่เราน่าจะเลิกพูดเรื่องสมรรถนะ หรืออัตราเร่ง แต่เน้นเรื่องอรรถรส และความอิ่มเอม เหมือนกินสเตคเนื้อวัวเกรด A5 ย่างบนเตาถ่านไม้ฮิคคอรี ซึ่งรสชาติย่อมแตกต่างจาก เนื้อจากพืช (PLANT BASED MEAT) ที่อุ่นร้อนจากเตาไมโครเวฟ นั่นเอง







