มาตรวัดตลาดรถ
ลอยตามน้ำ
เป็นที่เห็นพ้องต้องกันว่า เหตุอุทกภัยครั้งใหญ่หนนี้ กระทบกระเทือนถึงการจำหน่ายรถยนต์มือหนึ่ง หรือรถใหม่ป้ายแดง จากสาเหตุโรงงานไม่สามารถทำการผลิตได้ เพราะโรงงานชิ้นส่วน จมน้ำ ต้องเอาประดาน้ำ ไปงมกู้เครื่องจักรขึ้นมา ย้ายไปทำงานที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง ส่วนเจ้าของรถที่เป็นรถเก่า ใจอยากจะเปลี่ยนเป็นรถใหม่ ป้ายแดง กับเขาบ้าง เพราะมันใกล้เทศกาลปีใหม่เต็มทนแล้ว โบนัส ก็พอจะมองเห็นหน้าเห็นหลัง กันได้แล้ว ก็ไม่มีรถให้เปลี่ยนส่วนบรรดาพวกที่ไม่สามารถขนย้ายรถหนีน้ำได้ เกจิอาจารย์จากหลายสำนัก ก็ออกมาบอกเล่าเก้าสิบกัน ถึงวิธีการแก้ไข สำหรับรถที่จมแค่ครึ่งล้อ จมครึ่งคัน หรือจมถึงมิดคัน ที่ลอยตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง กันอยู่ในข่าวสารทางทีวีนั้น มันก็เป็นเหตุให้เทนท์รถเก่า เกิดปัญหา ในการหารถเก่ามาเข้าเทนท์ พอน้ำลดแล้ว จะไปรับซื้อรถจมน้ำ กดราคากันแบบถูกๆ เอามาบูรณะใหม่ เพื่อส่งเข้าเทนท์ มันก็เป็นงานใหญ่ ที่งานบูรณะรถ ต้องเรียกว่าหินทีเดียว ก็มีคำเตือนออกมาว่า ให้ผู้ที่สนใจซื้อหารถมือสองมาใช้ ให้ตรวจสอบรถที่จะซื้อให้ถี่ถ้วน ว่าลอยน้ำมาหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้น ปัญหาที่ตามมาก็คือ หากรถมีปัญหา มันจะหาต้นตอของปัญหาเจอได้ยากมาก เช่นเดียวกับบรรดาเจ้าของรถ ที่ซื้อพลาสติคขนาดใหญ่ เอาไปหุ้มรถไว้ทั้งคัน กันน้ำเข้า ปรากฏว่าเจ้าความชื้นจากความร้อนที่อบอยู่ทั้งวัน แถมความเย็นอีกทั้งคืน หลายวันหลายคืนเข้า ทำเอาข้างในรถเกิดเป็นเชื้อรา มีรูปเผยแพร่ทางฟอร์เวิร์ดเมล์ อยู่หลายราย เห็นแล้วสยองทีเดียว ก็เตือนท่านที่สนใจรถเก่า ต้องตรวจสอบสภาพกันให้ละเอียดยิบจริงๆ โดยเฉพาะรถที่พอเปิดประตูเข้าไป ก็แทบผงะเพราะกลิ่นของน้ำหอมปรับอากาศ ที่อบไว้ในรถ แบบนั้นแหละ ที่น่าระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ สนใจซื้อหารถมือสองเอาไว้ใช้งาน เลือกเอาที่เป็นบริษัทใหญ่โต มีรับประกันเป็นเรื่องเป็นราว ดีที่สุดนะขอรับหนนี้มีตัวเลขมาฝาก เป็นเรื่องของ ภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ปี 2552 ทั้งรายได้ ค่าใช้จ่ายเพื่อยังชีพไม่รวมเงินออม เงินสะสมและซื้อที่อยู่อาศัย หนี้สินและทรัพย์สินของครัวเรือน ที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ออกมาเปิดเผย โดยเป็นการสุ่มตัวอย่างจากครัวเรือนทั่วประเทศ 26,000 ครัวเรือน พบว่าในครึ่งปีแรกปี 2552 จากเดือนมกราคม ถึงเดือนมิถุนายน ครัวเรือนทั่วประเทศมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 21,135 บาท มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 16,255 บาท แต่นี่มันจะขึ้นปี 2555 เข้าไปแล้ว ฝากท่านที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง พิจารณากันทีเถอะ ว่าบริษัทห้างร้าน ที่เขาต้องการตัวเลขเพื่อทำสถิติน่ะ เขาคอยพวกท่านกันไม่ไหวหรอกครับ ต้องแอบมาหากินกันในเมืองทองธานี ชวนพูด ชวนคุย บอกตามตรงว่าเป็นการสำรวจ ถามสารพัด เสร็จแล้วก็ควักซองขาวให้ 1 ซอง เป็นค่าน้ำร้อนน้ำชา ได้เงิน 200 บาท แลกกับการให้ข้อมูลบริษัทสำรวจนิดหน่อย ก็ยังดีหรอกน่า แถมอีกเรื่อง เป็นตัวเลขการผลิตในบ้านเรา ปีนี้ทั้งปี คาดว่าจะลดลงเหลือราว 1.5 ล้านคัน เพราะผลกระทบจากน้ำท่วม คาดว่าเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท อีกเรื่องที่ค่ายรถยนต์ ฝากแถมไปยังภาครัฐ ก็เรื่องปัญหาการนำเข้ารถยนต์ ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า กเรย์มาร์เกท คาดกันว่า ทำให้ภาครัฐขาดรายได้นับหมื่นล้านบาท/ปี เพราะเป็นการเลี่ยงการเสียภาษี ด้วยรูปแบบ และวิธีการต่างๆ และกระทบต่อการทำตลาดของผู้ประกอบการ ที่มาลงทุนในประเทศอย่างถูกต้อง ส่วนเงินที่หลีกเลี่ยงได้บางส่วน อาจไปโผล่ในกระเป๋าใครบางคน ทำให้ไม่สามารถนำไปเข้าบัญชี เพราะไม่สามารถชี้แจงที่มาได้ ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้กับบ้าน ให้ล่อตาล่อใจ ให้พี่ขโมยมาขึ้นบ้านกันเสียนี่ เอ เรื่องเดียวกันหรือเปล่าหว่า กลับมาเรื่องของเราดีกว่า สิริรวมยอดการขายเดือนตุลาคม ทั้งสิ้นทุกยี่ห้อ ขายกันได้เพียง 42,873 คัน ลดลงถึง 40.5 % ขณะที่ยอดรวม 10 เดือน ยังได้รับอานิสงส์จากของเก่าอยู่ ยังคงเพิ่ม 13.6 % ยอดรวมขายได้ 713,842 คัน แชมพ์ยังคงเป็น โตโยตา ขาย 15,601 คัน ลดลง 47.3 % ส่วนแบ่ง 36.4 %, อันดับสอง ฮอนดา ขาย 5,274 คัน ลดลง 46.6 % ส่วนแบ่ง 12.3 % อันดับที่สาม อีซูซุ ลดลงถึง 63.1 % ขายได้เพียง 5,261 คัน ส่วนแบ่ง 12.3 % อันดับที่สี่ มีรถส่งมอบ มิตซูบิชิ ขาย 3,701 คัน เพิ่มขึ้น 7.6 % ส่วนแบ่ง 8.6 % และอันดับห้า มาซดา ขาย 3,284 คัน เพิ่มเยอะกว่าเพื่อน 23.8 % พอแยกประเภทเป็นรถยนต์นั่ง ที่ยอดขายตกลงมากถึง 38.8 % ขายทั้งตลาดได้เพียง 19,199 คัน แต่ผลพวงของยอดรวมยังดีอยู่ ขาย 311,085 คัน ยังเพิ่ม 18.3 % ตำแหน่งแชมพ์ได้แก่ โตโยตา ขาย 6,483 คัน ลดเยอะ 51.7 % ส่วนแบ่ง 33.8 % ที่สอง ฮอนดา ขาย 4,874 คัน ลด 46.4 % ส่วนแบ่ง 25.4 % ที่สาม มาซดา ขาย 2,516 คัน เพิ่ม 23.2 % ส่วนแบ่ง 13.1 % ที่สี่ นิสสัน ขาย 2,082 คัน ลดลง 31.3 % ส่วนแบ่ง 10.8 % และที่ห้า ฟอร์ด ขาย 1,173 คัน เพิ่มเล็กน้อย 3.4 % ส่วนแบ่ง 6.1 % ตำแหน่งผู้เสียภาษียอดเยี่ยม โพร์เช ขาย 6 คัน แจกวาร์ ขาย 4 คัน มิตซูโอกะ ลัมโบร์กินี เบนท์ลีย์ ขายเจ้าละ 2 คัน รถเพื่อการพาณิชย์ ยอดรวมลดลงกับเขาด้วย ขายเพียง 1,172 คัน ลดลง 43.2 % ขณะที่ยอดรวม 10 เดือน ยังเพิ่มอยู่ 12.7 % ขายได้ 20,280 คัน โดยแชมพ์ ยังคงเป็น อีซูซุ ขาย 534 คัน ลดลงเยอะ 52.3 % ส่วนแบ่ง 45.6 % ที่สอง ฮีโน ขาย 517 คัน ลดลง 37.6 % ส่วนแบ่ง 44.1 % และที่สาม โวลโว ขาย 90 คัน เพิ่มเยอะ 400 % ส่วนแบ่ง 7.7 % รถอเนกประสงค์อื่นๆ หรือรถแวน ขายได้เพียง 1,457 คัน ลดลง 30.1 % รวม 10 เดือน เพิ่ม 1.3 % ขาย 18,498 คัน โดย โตโยตา ขายอยู่ 1,237 คัน ลดลง 31.0 % ครองเจ้าตลาด 84.9 % นั่นคือความเป็นไป ในสภาวะที่คนไทยส่วนหนึ่ง อยู่ในสภาพจมน้ำ แต่ยังพอมีกลุ่มที่ไม่อยู่ในเหตุการณ์ สามารถซื้อหารถใหม่ป้ายแดงไปใช้กันได้อยู่ เลยยังพอมีตัวเลขโชว์กัน ก็ได้แต่คาดหวังว่า สิ้นปีนี้ จะยังพอมีตัวเลขที่พอดูได้ เอามาเล่าสู่กันฟังบ้าง ไหนๆ น้ำก็ลดจริงๆ ไปแล้วน่า
เรื่องโดย : มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/85087