ค่าย BMW ตั้งเป้าจะเป็นผู้นำในระบบของรถไฟฟ้าในอนาคต และการเชื่อมต่อ มากกว่าการเพิ่มยอดขาย Harald Krueger ซีอีโอ เป็นคนออกมาให้สัมภาษณ์เองเลยทีเดียวHarald Krueger บอกด้วยตัวเองว่า แม้ว่าค่ายรถยนต์อื่นๆ จะตั้งเป้าการขายสำหรับตลาดทั่วโลก แต่สำหรับ BMW ไม่มีการตั้งเป้าการขายสำหรับปี 2563 หรือ 2568 ปีที่แล้ว BMW ทำยอดขายได้เป็นประวัติการณ์ 2.37 ล้านคัน รวมทั้ง BMW, Mini และ Rolls-Royce รวมถึงรถบรรทุกขนาดเบา แต่สำหรับยอดขายรถไฟฟ้า รวมทั้งรถไฮบริด-ไฟฟ้า ทำได้ 62,000 คัน จำนวนนี้เป็นรถไฟฟ้า i3 ขาย 25,500 คัน โดยในปีนี้ เคยตั้งเป้าเอาไว้แล้ว 100,000 คัน รายงานข่าวระบุว่า BMW วางแผนจะทำยอดขายให้ได้ 2 ล้านคัน ในปี 2563 เทียบเท่ากับเจริญเติบโตจากปี 2559 ราว 6 % ความสำเร็จ จะมาจากการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในตลาดที่กำลังโตขึ้น อย่างเช่น รถไฟฟ้า หรือการเชื่อมต่อ มากกว่ายอดขาย แม้ว่า BMW จะเพิ่มจำนวนการผลิตในโรงงานต่างๆ ทั่วโลก BMW จำเป็นต้องเป็นสถานที่ที่มีคนอยากทำงานด้วย “เพราะคุณต้องการพนักงานที่ดีที่สุด ในการเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี” Harald Krueger ให้สัมภาษณ์ที่สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้ รถที่ขับเคลื่อนด้วยแบทเตอรี ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการออกแบบและดำเนินงานด้านวิศวกรรม ให้ค่าไอเสียเป็นศูนย์ หรือค่ามลภาวะต่ำ ในอนาคต ซีอีโอ ว่า รถพลังงานเชื้อเพลิง Fuel-cell ก็จะมีส่วนสำคัญเช่นกัน “ในความร่วมมือกับ Toyota เราร่วมกับพัฒนารถพลังงานเชื้อเพลิงรุ่นใหม่ๆ เมื่อปีที่แล้ว เราส่งรถไม่กี่คันออกทดลองวิ่งด้วย 5-Series Gran Turismo และในปี 2564 เราวางแผนจะก้าวไปสู่การทดสอบรถยนต์พลังงานเชื้อเพลิง” ความต้องการใช้รถพลังงานเชื้อเพลิง ยังไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจมากนัก ทั้งนี้เพราะยังต้องการโครงสร้างพื้นฐานอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานีบริการเชื้อเพลิง แต่ก็เป็นความจำเป็นที่ BMW ต้องเตรียมไว้ให้พร้อม การร่วมมือกับ Toyota เป็นการช่วยให้ BMW ได้รับเทคโนโลยีพลังงานเชื้อเพลิงที่ก้าวหน้า รวมทั้งร่วมในต้นทุนในการพัฒนา ที่ต่ำลง แต่จนถึงขณะนี้ ยังไม่สามารถประเมินได้ว่า ยอดการขายรถพลังงานเชื้อเพลิง ในปี 2573 จะเป็นจำนวนเท่าใด ขณะเดียวกัน BMW ก็ต้องการหุ้นส่วนในการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็ก ด้วยระบบยานยนต์ไร้คนขับ ที่ได้ร่วมมือกับผู้ผลิตชิ้นส่วนอยู่แล้ว “เราไม่ชำนาญในการผลิต เรดาร์ และ การควบคุมการใช้งาน เราก็เลยทำงานร่วมกับ Mobileye” กล่าว “เราไม่ชำนาญในการผลิตชิพ เราก็ร่วมมือกับ Intel และเราเพิ่งร่วมมือกับ Delphi ที่จะพัฒนาซอฟท์แวร์ และระบบการทำงานโดยรวม” ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตชิ้นส่วนจะไม่สามารถควบคุมยานยนต์ไร้คนขับ หรือแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง เพราะผู้ผลิตยานยนต์ ยังคงควบคุมระบบคอมพิวเตอร์ ที่จะกำหนดกำลังงานและซอฟท์แวร์ภายในรถ ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญที่สุด และสำหรับยานยนต์ไร้คนขับ ที่จะมอบหมายให้ BMW หรือ Mini เป็นผู้ดูแล หรือ Rolls-Royce เพื่อให้รถขับเคลื่อนไปเสมือน “วิ่งไปบนพรม” คุณจำเป็นต้องใช้ผู้ผลิตยานยนต์ที่มีความชำนาญอย่างแท้จริง “เรากำลังอยู่ในธุรกิจระดับสูง เราขายการออกแบบและความรู้สึก ไม่ใช่เพียงแค่การเดินทางจาก จุด เอ ไป บี เท่านั้น” เขาว่า BMW จะนำเสนอพวงมาลัยเพื่อการขับเคลื่อน โดยปล่อยให้ผู้ขับขี่ตัดสินใจว่า เมื่อไรถึงจะจับพวงมาลัย และเหยียบคันเร่งเพื่อการควบคุม “คุณจะไม่เห็น Robo-Taxi จาก BMW แน่นอน” Krueger กล่าว BMW แถลงข่าวเมื่อเดือนที่แล้ว ว่าจะเริ่มการผลิตรถไฟฟ้า iNext พร้อมระบบยานยนต์ไร้คนขับ ในปี 2564 ที่โรงงาน Dingolfing ประเทศเยอรมนี ซึ่งจะมีความสามารถของยานยนต์ไร้คนขับ ระดับ 4 ที่กำหนดโดย Society of Automotive Engineers ว่าเป็นรถที่ “ขับเคลื่อนด้วยระบบขั้นสูง” ที่ยังจำเป็นต้องมีผู้ขับขี่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งต่ำกว่าความสามารถระดับ 5 “ขับเคลื่อนด้วยระบบอย่างแท้จริง” ที่ไม่จำเป็นต้องใช้พวงมาลัย เพราะยานยนต์สามารถกำหนดและทำงานแทนผู้ขับขี่ได้เอง ในปีนี้ BMW จะใช้รถ 40 คัน เพื่อทดสอบยานยนต์ไร้คนขับ ในระดับ 3 หรือ “ระบบขับเคลื่อนที่ยังต้องการควบคุม” โดยภายในรถยังเต็มไปด้วยคอมพิวเตอร์ “นี่ไม่ใช่สิ่งที่ลูกค้าต้องการ” เขากล่าวถึงภายในห้องโดยสารที่ยังระเกะระกะไปด้วยอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เขายังคาดหวังถึงการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของสหราชอาณาจักร ว่าน่าจะสามารถทำความตกลงกันได้ในข้อแม้ทางการค้า “หากมองในด้านผู้ผลิต เราพร้อมปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆ เราผลิต Mini จำนวนมากในประเทศเนเธอร์แลนด์ แต่ตลาดในสหราชอาณาจักรก็เป็นตลาดที่สำคัญสำหรับ BMW และเป็นตลาด Mini ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” เขากล่าว Krueger ยังกล่าวถึงเป้าหมายของสหภาพยุโรป ทั้จะลดค่าไอเสียจากรถยนต์ ให้ได้ภายในปี 2563-2564 ว่าจะไม่สามารถทำได้ หากปราศจากการใช้เครื่องยนต์ดีเซล ที่ให้กำลังมากกว่าเครื่องยนต์เบนซิน 15-20 % เมื่อเทียบในแง่ค่ามลภาวะจากไอเสีย “คุณจำเป็นต้องค้นคว้าหาน้ำมันดีเซลที่สะอาด และเครื่องยนต์ที่ผ่านมาตรฐาน ยูโร 6 ก็เป็นเครื่องยนต์ดีเซลที่สะอาด” เขากล่าว “หากคุณขับรถยนต์ปีละ 30,000 หรือ 50,000 กิโลเมตร เครื่องยนต์ดีเซล ก็ยังมีความคุ้มค่าในการใช้งานมากกว่า” Krueger กล่าวทิ้งท้าย