สำนักข่าว Bloomberg รายงานข่าวว่า ค่าย Ferrari กำลังพิจารณาขึ้นสายการผลิตรถอเนกประสงค์ นอกเหนือจากการผลิตรถซูเพอร์คาร์เพียงอย่างเดียว ด้วยเป้าหมายในการผลิตเพิ่มขึ้นอีกปีละ 1,000 คัน ที่ต้องการทำกำไรเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ให้ได้ภายในปี 2565แม้ว่า Ferrari ยังคงยืนกรานตลอดเวลาที่จะไม่ทำการผลิตรถอเนกประสงค์ แต่นักข่าวก็สืบทราบว่า ค่ายม้าลำพอง กำลังซุ่มพัฒนาอย่างเงียบๆ อีกทั้งการกำหนดมาตรฐานค่าไอเสียในปัจจุบัน ก็ค่อนข้างเข้มงวด อันจะทำให้ต้องทำการผลิตรถไฮบริด เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ขณะเดียวกัน ก็ยังศึกษาถึงรูปแบบสปอร์ท ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเชี่ยวชาญ โดยจะใช้กับรถรุ่นใหม่นี้ด้วย Sergio Marchionne ประธาน Fiat Group คนปัจจุบันนั้นเคยดำรงตำแหน่ง ซีอีโอ ของ Ferrari มาก่อน และต้องการผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้น จนปัจจุบัน สามารถผลิตได้ถึงระดับ 7,000 คัน/ปี แล้ว อันช่วยทำให้มูลค่าหุ้นในตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นถึง 3.8 % เป็นราคา 109.19 เหรียญสหรัฐฯ/หุ้น ราว 3,821.65 บาท ตามเป้าหมายการทำกำไรเพิ่มขึ้นสองเท่า Ferrari กำลังพิจารณาเพิ่มรุ่นรถ ที่ปัจจุบันมีเพียง GTC4 Lusso แบบ 4 ที่นั่ง ขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา โดยเล็งไปที่ผู้บริโภคในตลาดเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งหากมีการออกรุ่นใหม่ขึ้นมา ลูกค้าก็ยินดีซื้อหาไว้ครอบครอง อย่างน้อย 2,000 คัน/ปี เช่นเดียวกับที่ ค่าย Maserati และ Bentley ที่ผลิตรถอเนกประสงค์ออกมาจำหน่าย ปัจจุบัน Ferrari ตั้งเป้าการขายในปีหน้า 8,016 คัน และเพิ่มเป็น 9,000 คัน ในปี 2562 แต่หากเพิ่มรุ่นรถอเนกประสงค์ขึ้นมา นักวิเคราะห์มองว่า จะสามารถทำยอดขายได้ถึง ปีละ 15,000 คัน ขณะเดียวกัน ปัจจุบัน Ferrari ถูกจัดอยู่ในผู้ผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก (Small Vehicle Manufacturer) ซึ่งมีข้อบังคับที่ไม่เข้มงวดเท่าใดนักเรื่องมลภาวะจากค่าไอเสีย แต่หากมีการเพิ่มรุ่นรถยนต์อันอาจทำให้ถูกปรับเปลี่ยนสถานะขึ้นไป ที่จะต้องถูกเข้มงวดเรื่องค่าไอเสียมากขึ้น ทำให้ทางค่ายต้องหันไปหาตัวช่วย ด้วยการผลิตรถไฮบริดออกมาจำหน่ายควบคู่ไปด้วย