Geely Automobile Holdings ประกาศผลการดำเนินงานในปี 2561 ที่ผ่านมา สามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น 18 % จากยอดขายรถยนต์ซีดาน และ เอสยูวี พร้อมประเมินการดำเนินงานในปี 2562 นี้ น่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว อันเนื่องมาจากความต้องการภายในประเทศลดลงGeely สามารถทำผลกำไรสุทธิได้ 12.5 พันล้านหยวน ราว 62.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 10.6 พันล้านหยวน โดยสามารถทำรายได้เป็นประวัติการณ์ทั้งสิ้น 106.6 พันล้านหยวน เพิ่มจาก 92.76 พันล้านหยวน ในปี 2560 และนับเป็นผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศจีน ที่สามารถทำผลกำไรได้มากที่สุด อันเนื่องมาจากกลุ่ม Geely เข้าไปลงทุนในรถยนต์ Volvo และ Daimler Geely จำหน่ายรถยนต์ภายใต้ยี่ห้อ Geely และ Lynk & Co โดยในปีที่แล้ว จำหน่ายรถยนต์ได้ทั้งหมด 1.5 ล้านคัน เพิ่มจากปี 2560 ถึง 20 % ที่จำหน่ายได้เพียง 1.25 ล้านคัน สำหรับ Lynk & Co เปิดตัวเมื่อปี 2559 โดยยกระดับให้มีความหรูหรามากกว่ายี่ห้อ Geely แต่ต่ำกว่ายี่ห้อ Volvo พร้อมเตรียมส่งรถเข้าไปจำหน่ายในยุโรป ต้นปี 2560 ด้วยรถรุ่น O2 Geely ระบุในแถลงการณ์ว่า อันเนื่องมาจากความเปลี่ยนแปลงความนิยมของผู้บริโภคในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ มีผลกระทบต่อความต้องการรถยนต์ โดยตลาดรถยนต์โดยรวมลดลง และ Geely เอง ก็ทำได้ไม่ถึงเป้าหมายประจำปี โดยขาดไป 5 % ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งหลังของปี ยอดการขายก็เริ่มลดลง โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย ขณะที่ในเดือนธันวาคม เดือนเดียว ยอดขายของตลาดลดลงไปถึง 44 % Geely ประเมินว่า ตลาดรถยนต์ในประเทศจีนปีนี้ น่าจะทรงตัว หรือทำได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว อันเนื่องมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ค่อนข้างทรงตัว และผู้บริโภคตัดสินใจยากมากขึ้น โดยเป็นช่วงที่ตลาดตกต่ำเป็นครั้งแรก นับแต่ปี 2533 ผลการขายในปีที่แล้ว Geely เติบโตได้จากยอดขายรถซีดาน และเอสยูวี รวมทั้งการส่งออก ขณะที่มีการแนะนำรถยนต์พลังงานชนิดใหม่ และรถไฟฟ้า หลายรุ่น และรถระดับหรูหรา ที่สามารถทำผลกำไรได้มากกว่ารถซีดานปกติ