ผ่านพ้นปี 2563 กันไปได้แบบกระท่อนกระแท่น หลังจากเกิดสถานการณ์การระบาดของโรคระบาดร้ายแรง COVID-19 ที่เริ่มกันมาตั้งแต่ต้นปี แต่ค่อยๆ มาคลายตัวกันไปได้ในช่วงครึ่งหลังของปี แต่กระนั้น เมื่อเริ่มปี 2564 ก็ยังมีกลับมาเป็นการระบาดรอบ 2 อีก หลังจากยอดขายปี 2563 ลดลง 21.4 % โดยมียอดขายอยู่ที่ 792,146 คันแต่สำหรับปี 2564 นี้ การประเมินจากหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 การพัฒนาวัคซีน และการเข้าถึงวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 รวมถึงแนวโน้มสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ทั้งหมดนี้จะส่งผลต่อทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ และเชื่อกันว่ายอดขายรถยนต์ในปี 2564 จะอยู่ที่ประมาณ 850,000-900,000 คัน เพิ่มขึ้น 7-14 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ด้านสภาอุตสาหกรรมฯ ก็ตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ในปี 2564 จำนวน 1,500,000 คัน เพิ่มขึ้น 5.12 % แบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 750,000 คัน เท่ากับ 50 % ของยอดการผลิตทั้งหมด และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศประมาณ 750,000 คัน เท่ากับ 50 % ของยอดการผลิตทั้งหมด และเป้าหมายผลิตรถจักรยานยนต์ 1,860,000 คัน เพิ่มขึ้น 15.15 % ทั้งนี้เนื่องจากยังกังวลเรื่องการระบาดของ COVID-19 รอบ 2 ในประเทศไทย และในต่างประเทศ คงทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทย และของประเทศคู่ค้ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับการผลิตรถยนต์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศบางแห่งขาดชิ้นส่วนบางชิ้น ทำให้ต้องชะลอการผลิตบางรุ่นลงชั่วคราว อันที่จริง เจ้าชิ้นส่วนที่ขาด คือ เซมิคอนดัคเตอร์ ที่นำมาติดตั้งในชิพประมวลผล เดิมทีมีผู้ผลิตค่อนข้างมากพอสมควร แต่ปัญหาเกิดจากนโยบายกีดกันทางการค้าที่สหรัฐอเมริกา ยกขึ้นมาแซงค์ชัน ผู้ผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้การผลิตที่ต้องใช้เวลานานอยู่แล้ว ผู้ผลิตรายอื่นๆ ไม่สามารถทำการผลิตเพิ่มขึ้นได้ทันท่วงที และเริ่มกระเทือนมาตั้งแต่ราวกลางปี 2563 แล้ว จนประเทศยักษ์ใหญ่อย่าง เยอรมนี ยังต้องร้องขอ ไต้หวัน ให้ช่วยรับภาระในการผลิตเพิ่มเติม เรียกว่าเป็นปัญหาระดับโลกกันเลยทีเดียว มาดูกันว่า โดยภาพรวมแล้ว ที่จะเกี่ยวข้องกับยอดการขายรถยนต์ในประเทศ จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เริ่มกันที่ตลาดส่งออกรถยนต์จากประเทศไทย ไปยังประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งถูกกำหนดอากรป้องกันชั่วคราว สำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะ มูลค่า 1,500 และ 2,300 เหรียญสหรัฐฯ/คัน โดยคาดว่ามาตรการชั่วคราวดังกล่าวจะมีระยะเวลาดำเนินการถึงวันที่ 8 สิงหาคม 2564 หลังจากนั้น อาจมีการบังคับใช้มาตรการอื่นเพิ่มเติม แม้ว่าภาคเอกชนของฟิลิปปินส์ มีความกังวลต่อมาตรการดังกล่าว จะทำให้ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ในราคาที่สูงขึ้น แต่กระนั้น เมื่อมองไปในฟ้ากว้าง ก็ยังพอมองเห็นแสงสว่างอยู่บ้าง โดยมีการประเมินและนำเสนอใน ครม. กันว่า เศรษฐกิจไทยปี 2564-2566 จะเริ่มทยอยฟื้นตัว หนุนโดยภาคส่งออก และแรงกระตุ้นภาครัฐ เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 3.4 % ต่อปี โดยเป็นการฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ปัจจัยสนับสนุนได้แก่ (1) คาดว่าตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาส 2/2564 เป็นต้นไป สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่จะดีขึ้น ทำให้รัฐบาลสามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุม ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศและความเชื่อมั่นภาคเอกชนฟื้นตัว (2) รูปแบบการประกอบธุรกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่ปรับตัวได้มากขึ้น อาทิ การใช้จ่ายออนไลน์ การทำงานจากบ้าน (Work from Home) (3) การส่งออกมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวตามวัฏจักรการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก ผลจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ผนวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งด้านการเงินและการคลังของหลายประเทศสำคัญ (4) การเริ่มผ่อนปรนการเดินทางเข้าประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม อาทิ กองถ่ายภาพยนตร์ ผู้มาเข้าร่วมงานแสดงสินค้า กลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติแบบพิเศษ (Special Tourist Visa: STV) ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยฟื้นตัว คาดว่าการเดินทางระหว่างประเทศจะมากขึ้นโดยลำดับ และในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 การค้นพบวัคซีนและนำมาใช้ได้อย่างแพร่หลาย จะทำให้มีการเดินทางระหว่างประเทศเป็นวงกว้างมากขึ้น ซึ่งจะหนุนให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีจำนวนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (5) แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจซึ่งจะช่วยเอื้อให้การใช้จ่ายในประเทศฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย มาตรการกระตุ้นการบริโภคและลดค่าครองชีพของประชาชน การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและพระราชกำหนดเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท งบลงทุนรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการด้านการเงินอื่นๆ ได้แก่ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ และการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงโครงการค้ำประกันสินเชื่อระยะพิเศษ โดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ก็ยังพอเชื่อมั่นได้ว่า เศรษฐกิจบ้านเรา จะค่อยๆ กลับมาอย่างแท้จริง ขอเพียงพวกเราช่วยกันรักษาสุขภาพ ให้ปราศจากโรคภัยทั้งหลายทั้งปวง เพื่อจะได้เงยหน้าอ้าปากในอนาคตได้อย่างสง่าผ่าเผย ถึงแม้จะยังต้องร่วมมือกันสวมหน้ากากอนามัยอยู่เช่นเดิมก็ตาม