Honda N-Box เจเนอเรชัน 3 ห้องโดยสารกว้างขึ้น

ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Honda N-Box เปิดตัวครั้งแรกในปี 2544 ด้วยรูปทรงกล่องเหมือนกับชื่อ ปัจจุบัน Honda N-Box เจเนอเรชันที่ 3 แล้ว สั่งจองในญี่ปุ่นได้แล้ว และพร้อมส่งมอบในเดือนกันยายน 2566 Honda N-Box ใช้รูปทรงกล่องเหมือนกับเจเนอเรชันก่อนหน้านี้  โคมไฟหน้าทรงเหลี่ยม เข้ากันกับด้านหน้ารถเหลี่ยม และสั้น ส่วนที่เหลือ คือ ห้องโดยสารทั้งหมด ประตูหลังเป็นบานเลื่อน เหมือนรถมีนีแวนทั่วไป มีแพคเกจตกแต่งสไตล์แฟชันให้เลือก โดยใช้สีขาวพ่นที่กรอบกระจก และมือจับประตู และฝาครอบล้อสีเดียวกันกับตัวรถ การตกแต่งระดับ N-Box Custom ด้วยกริลล์หน้าทรงหกเหลี่ยม แทนที่กริลล์ช่องเล็กแบบมาตรฐาน การตกแต่งระดับนี้ใช้ชุดโคมไฟแอลอีดี และชุดไฟท้ายแบบใสแทนที่ชุดไฟท้ายสีแดง นอกจากนั้นยังได้กริลล์ และกรอบป้ายทะเบียนชุบโครเมียมสีเข้ม พร้อมล้ออลูมิเนียมสีดำ ภายในห้องโดยสารของ N-Box ติดตั้งแผงอุปกรณ์จอดิจิทอลขนาด 7.0 นิ้ว และจอแสดงระบบอินโฟเทนเมนท์ขนาด 9.0 นิ้ว ใต้แผงแดชบอร์ดฝั่งคนขับมีถาดเก็บของ ส่วนฝั่งผู้โดยสารเป็นช่องเก็บของมีฝาปิด และภายในห้องโดยสารหุ้มหนังสำหรับแพคเกจ N-Box custom Honda N-Box ใหม่ ยังไม่เปิดเผยมิติ แต่คาดว่าจะมีเนื้อที่ภายในกว้างขวางที่สุดในคลาสส์ เบาะด้านหลังพับราบเพื่อเพิ่มเนื้อที่บรรทุกสัมภาระอย่างจุใจ ส่วนเบาะคู่หน้าสามารถปรับเอนได้เกือบเป็นแนวราบ โดยปกติ N-Box จะมีให้เลือก ทั้งระบบขับเคลื่อนล้อหน้า และขับเคลื่อน 4 ล้อ เครื่องยนต์มีให้เลือกทั้งรุ่นธรรมดา และรุ่นเทอร์โบ ยังไม่บอกว่ามีกำลังสุทธิเท่าไร อย่างไรก็ตามรถ Kei-Car ถูกกำหนดให้มีกำลังสุทธิไม่เกิน 63 แรงม้า และความจุกระบอกสูบไม่เกิน 660 ซีซี ตัวรถถูกจำกัดความยาวไม่เกิน 11 ฟุต (3.4 เมตร), ความกว้างไม่เกิน 4.9 ฟุต (1.48 เมตร) และความสูงไม่เกิน 6.6 ฟุต (2 เมตร) รูปทรงกล่องให้เนื้อที่ห้องโดยสารได้มากที่สุด แต่ยังมีรถสปอร์ทในกลุ่ม Kei-Car อย่าง Honda Beat, Honda S660, Mazda Autozam AZ-1 และ Suzuki Cappuccino Kei-Car นับเป็นส่วนสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ในญี่ปุ่น โดยในปี 2545 มีส่วนแบ่งการตลาดถึง 34.1 % หรือทำยอดขายได้ถึง 1.17 ล้านคัน และ Honda N-Box ในปี 2565 ได้รับความนิยมสูงที่สุดในเซกเมนท์ ด้วยยอดขาย 202,200 คัน