ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ปี 2567 ที่ผ่านมา Ferrari (แฟร์รารี) เพิ่งทำสถิติยอดขายสูงสุดของบริษัทฯ ส่วนในปี 2568 จะมีแผนเปิดตัวรถถึง 6 รุ่น โดยอ้างจากเอกสารผลประกอบการของปี 2567 แจ้งว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นรถไฟฟ้าล้วนคันแรกของค่าย แต่ยังไม่แจ้งชื่อรุ่น และคาดว่าจะเปิดตัวในงาน “Capital Markets Day” ที่เมืองมาราเนลโล เดือนตุลาคม 2568
ค่ายม้าลำพอง ยังไม่ยอมเปิดเผยข่าวรถใหม่อีก 5 รุ่น แต่อาจพิจารณาจากอายุรถรุ่นต่างๆ ของบริษัทฯ ตั้งแต่ SF90 Stradale (เอสเอฟ 90 สตราดาเล) ที่หยุดการผลิตไปแล้ว คาดว่ารุ่นต่อไปที่จะมาแทน น่าจะเป็นซูเพอร์คาร์ขุมพลัง วี 8 สูบ พลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งจะเปิดตัวได้ปลายปีนี้
ส่วน Ferrari 296 (แฟร์รารี 296) น่าจะได้รับการอัพเดท โดยมีแบบบอดีให้เลือก ทั้งแบบเปิดประทุน และคูเป
สำหรับ Purosangue (ปูโรซังกเว) น่าจะมีเวอร์ชันใหม่ ที่มีราคาย่อมเยากว่ารุ่นเครื่องยนต์ วี 12 สูบ เนื่องจากพแลทฟอร์มของรุ่นนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับระบบไฟฟ้าด้วย จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเวอร์ชันใหม่ อาจใช้ขุมพลัง วี 8 สูบ พลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งจะลงตัวที่สุด ขณะที่ข้อจำกัดด้านมลพิษมีความเข้มงวด
ส่วน Roma ยังไม่มีอายุมากพอที่จะถูกแทนด้วยรุ่นใหม่ในปีนี้ อาจเทียบช่วงอายุได้กับ Daytona SP3 (เดย์โทนา เอสพี 3) ที่เปิดตัวในปี 2565 ต่อจาก Monza SP1/SP2 (มนซา เอสพี 1/เอสพี 2) ซึ่งเปิดตัวในปี 2561 จึงคาดว่าแต่ละรุ่นมีช่วงวางจำหน่ายถึง 5 ปี ในขณะที่ Daytona SP3 ขุมพลัง วี 12 สูบ ซึ่งผลิตเพียง 599 คัน เริ่มการส่งมอบเมื่อปีที่แล้ว
แม้ Ferrari ยังไม่มีรถไฟฟ้าล้วนในสายการผลิต แต่ในปี 2567 รถไฮบริดสามารถทำยอดขายได้โดดเด่นมาก โดยทำยอดขายถึง 51 % จากยอดขายทั้งหมด ส่วนรถเครื่องยนต์สันดาปภายในล้วน ทำยอดขายได้ 49 % เท่านั้น สำหรับรถรุ่นปลอดพิษที่จะเปิดตัวได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อาจไม่ใช่ซูเพอร์คาร์ คาดเดาได้จากรถทดสอบซึ่งพรางตัวมาในตัวถังของ Maserati Levante (มาเซราตี เลวันเต) และไม่น่าจะเป็น ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี ที่จะวางจำหน่ายคู่กับ Purosangue คงจะเป็นรถที่ใช้งานได้จริงมากกว่ารถสปอร์ท 2 ที่นั่ง