ข่าวจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ระบุว่า การชาร์จเร็ว หรือการชาร์จเร็วพิเศษ (Fast หรือ Ultra-Fast Charging) ช่วยให้เจ้าของรถเสียเวลารอการชาร์จเพียงไม่นานก็สามารถเดินทางต่อได้ แต่การชาร์จเร็วอาจต้องแลกด้วยอายุการใช้งานของแบทเตอรีสั้นลงอย่างคาดไม่ถึง
เจ้าของรถส่วนใหญ่เชื่อว่าการชาร์จเร็วพิเศษ (Ultra-Fast Charging) จะทำให้อายุการใช้งานของแบทเตอรีสั้นลง ทั้งต้องกังวลกับต้นทุนค่าเปลี่ยนแบทเตอรี ซึ่งอาจมีราคาถึงครึ่งของราคาตอนซื้อใหม่ หรืออาจเกินมูลค่าราคาของรถที่เหลืออยู่
แม้บริษัทผู้ผลิตรถมีการรับประกันชิ้นส่วนหลัก เช่น แบทเตอรีอย่างน้อย 8 ปี หรือ 120,000 กม. และสามารถเปลี่ยนแบทเตอรีเมื่อมีความจุลดลงเหลือ 70-80 % ภายในระยะเวลารับประกัน แต่การรับประกันมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น “การรับประกันตลอดอายุการใช้งาน” มักมีข้อกำหนด ต้องเป็นเจ้าของรายแรก, จำกัดระยะทางวิ่งต่อปี, ต้องเข้ารับการเชคระยะที่ศูนย์บริการอย่างต่อเนื่อง, ไม่รับประกันรถใช้งานเชิงพาณิชย์ รวมถึงการชาร์จเร็วเกินจำนวนครั้งที่กำหนด และบางบริษัทรับประกันเฉพาะความเสื่อมสภาพของแบทเตอรีที่เกิดจากการผลิตเท่านั้น
สำหรับรถแทกซี มีความจำเป็นต้องใช้การชาร์จเร็วพิเศษ เพื่อให้มีเวลาขับรถนานที่สุด การชาร์จเร็วจะทำให้แบทเตอรีเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เช่น แทกซีที่ใช้งานเกิน 100 กม./วัน แล้วต้องชาร์จเร็วพิเศษเกินกว่า 70 % ของการชาร์จทั้งหมด จะทำให้ความจุแบทเตอรีลดลงเหลือเพียง 85 % ภายในเวลา 2 ปี หากชาร์จเร็วพิเศษด้วยกระแสไฟเกินกว่า 120 กิโลวัตต์ บ่อยครั้ง ทำให้อายุของแบทเตอรีสั้นลง 40 % เมื่อเทียบกับแบทเตอรีที่ชาร์จช้า
อุตสาหกรรมผู้ผลิตรถไฟฟ้ากำลังหาความสมดุลระหว่างความเร็วในการชาร์จ และอายุการใช้งานของแบทเตอรี ด้วยเทคโนโลยีการควบคุมความร้อนของแบทเตอรีในระหว่างการชาร์จเร็ว และระบบจัดการแบทเตอรี (BMS) มีโหมดระบบป้องกันขณะชาร์จเร็วพิเศษ ในส่วนของสถานีชาร์จ ได้เพิ่มการปรับการจ่ายกระแสไฟอัตโนมัติในระหว่างการชาร์จด้วย
ผู้เชี่ยวขาญได้ให้คำแนะนำเจ้าของรถให้ชาร์จแบบเร็วพิเศษไม่เกิน 40 % ของการชาร์จทั้งหมด และหลีกเลี่ยงการชาร์จแบบเร็วพิเศษ เมื่อแบทเตอรีมีสถานการณ์ชาร์จที่ 10 % หรือ 90 % ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายกับแบทเตอรีได้