เดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา บ้านเราขายรถยนต์กันได้ 68,883 คัน ลดลงไป 12.1 % ยังคงเป็นผลจากสถานการณ์ COVID-19 แต่อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่ายอดขายโดยรวมของเดือนสิงหาคม ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 หลังจากที่รัฐบาลได้ดำเนินการผ่อนคลายให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ ประกอบกับการที่รัฐบาลออกมาตรการดูแล และเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ทั้งมาตรการด้านการเงินและการคลัง เพื่อช่วยเหลือประชาชน และผู้ประกอบการโดยทั่วไป ส่งผลในเชิงบวกให้กับตลาดรถยนต์ทำให้ยอดการขาย 8 เดือน ขายได้ 448,006 คัน ลดลง 32.9 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตลาดรถยนต์นั่งมีอัตราการเติบโตลดลง 40.7 % ตลาดรถเพื่อการพาณิชย์มีอัตราการเติบโตลดลง 28.1 % เป็นผลกระทบมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส ที่ไม่เพียงแต่ตลาดรถยนต์ไทย แต่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และทั่วโลกติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องถือว่า ตลาดรถยนต์บ้านเรา ค่อยๆ ฟื้นตัว ตามมาตรการของภาครัฐ ที่ผ่อนคลายให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินการได้ ภายใต้มาตรการที่กำหนด ควบคู่ไปกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการควบคุมสถานการณ์เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดรถยนต์ในเดือนถัดไป มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อมองภาพโดยรวมของทั้งปีนี้แล้ว คาดกันว่า รายได้ของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์มีแนวโน้มหดตัวรุนแรง ผลจากกำลังซื้อซบเซาทั้งในและต่างประเทศ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก ทำให้ความต้องการชิ้นส่วนฯ OEM หรือชิ้นส่วนที่ส่งเข้าประกอบในโรงงาน ปรับลดลง อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ชิ้นส่วนฯ REM หรือชิ้นส่วนที่จำหน่ายสำหรับรถยนต์ที่ใช้งานแล้ว มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของจำนวนรถยนต์สะสม ซึ่งจะช่วยพยุงรายได้ของผู้ประกอบการไม่ให้ทรุดหนัก แต่ในระยะยาว ประเมินว่า สำหรับปี 2564-2565 รายรับของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จะค่อยๆ กระเตื้องขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ถ้าหากว่าผู้ผลิตจะยังสามารถประคองตัวให้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง โดยความต้องการชิ้นส่วนฯ OEM จะเติบโตตามปริมาณการผลิตยานยนต์ในประเทศ ที่มีแนวโน้มขยายตัว 3-4 % ต่อปี ขณะที่ตลาด REM จะเติบโตตามปริมาณยานยนต์สะสมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกยังมีความเสี่ยงจากข้อตกลง USMCA ที่จะยกเว้นภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ใช้ชิ้นส่วนฯ ภายในประเทศสหรัฐฯ เมกซิโก และแคนาดา (มีผลวันที่ 1 กรกฎาคม 2563) อาจทำให้ไทยส่งออกไปยังกลุ่มประเทศดังกล่าวได้ลดลง อีกทั้งภาวะตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน อาจทำให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของไทยชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่จะเป็นปัจจัยความสำเร็จของอุตสาหกรรมรถยนต์บ้านเรา ก็ต้องพิจารณาถึงข้อตกลงการค้าเสรี โดยเฉพาะกลุ่มการค้าเสรีที่เคยเป็นประเด็นอย่าง CPTPP อาจช่วยขยายโอกาสในการลงทุนและส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ของไทยไปยัง ญี่ปุ่น และเมกซิโก ได้มากขึ้น ผ่านการพัฒนาขึ้นไปเป็นฐานผลิตชิ้นส่วนในห่วงโซ่อุปทานการผลิตรถยนต์ของทั้ง 2 ประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อค่ายรถนิยมใช้พแลทฟอร์มร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสที่จะส่งออกรถยนต์โดยตรงไปเมกซิโกเพิ่มขึ้นเช่นกัน หลังเมกซิโกต้องปรับลดภาษีลงตามข้อตกลงการค้าเสรีนี้ ขณะที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองเศรษฐกิจฟื้นตัวลักษณะ U-Shaped คาดปรับ GDP ปีนี้หดตัว 10 % (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย) โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยแตะระดับต่ำสุดเมื่อไตรมาส 2 ของปีนี้ จากมิติการหดตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ คาดปีนี้ GDP -10 % ขณะที่ หากเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เศรษฐกิจไทยมีโอกาสฟื้นตัวแบบ U-Shaped ซึ่งการจะประคองเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นช่วงฐานตัว U ได้เร็วเพียงใดนั้น กลายเป็นโจทย์ยากของทางการไทยที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการออกมาตรการเศรษฐกิจเพิ่มเติม ในขนาดที่เพียงพอและทันเหตุการณ์ในสภาวการณ์ที่ไม่นิ่ง กับต้นทุนจากการออกมาตรการนั้น เช่น หนี้สาธารณะที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงความเสี่ยงในการแพร่ระบาดอีกครั้งของไวรัสฯ เมื่อทยอยเปิดประเทศ เป็นต้น ก็ได้แต่เอาใจช่วย ให้มาตรการต่างๆ ของภาครัฐ สามารถเกื้อหนุนให้ผู้อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ผ่านวิกฤตโรคระบาดร้ายแรงครั้งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่ง เอาใจช่วยจริงๆ ครับ