จากสถานการณ์น้ำท่วมหนักรุนแรงในหลายพื้นที่ บางคนต้องจอดรถในพื้นที่น้ำท่วมสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น หลังน้ำลด เราต้องมีวิธีจัดการเพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด ดังนี้...
เมื่อนำรถขึ้นจากน้ำแล้วไม่ควรสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะรถยนต์มีอุปกรณ์อีเลคทรอนิค ระบบไฟฟ้า ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ จะทำให้ชอทเสียหายได้ เช่นเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ที่ถูกน้ำท่วม ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด ให้เรียกรถยกมานำเข้าศูนย์ดีที่สุด
เพื่อตัดระบบการจ่ายไฟเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์ และป้องกันการลัดวงจร เมื่อน้ำลดแล้วให้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าทุกชนิดภายในรถ ไม่ว่าจะเป็นพัดลมระบายความร้อน ECU สมองกลไฟฟ้าควบคุมเครื่องยนต์
เมื่อรถโดนน้ำท่วมแล้ว โทรเชคกรมธรรม์ที่คุณถืออยู่ว่ามีการคุ้มครองอุบัติเหตุจากธรรมชาติหรือไม่ เพราะประกันในแต่ละที่จะคุ้มครองแตกต่างกันไป ซึ่งประกันรถยนต์ส่วนใหญ่โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 ประกันรถยนต์ชั้น 2 บางประเภทจะมีการรับประกันรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม ส่วนกรณีที่ประเมินแล้วค่าซ่อมมากกว่าทุนประกัน บริษัทอาจจะชดเชยเป็นเงินประมาณ 70-80 % ของทุนประกันแทน
ก่อนหน้านี้หากมีน้ำเข้าภายในรถ เมื่อน้ำแห้งแล้วควรทำความสะอาดส่วนต่างๆ โดยเช็ดให้แห้ง เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดสนิม และกลิ่นเหม็นภายในรถก่อนจะนำเข้าศูนย์ซ่อม
เมื่อน้ำลด ให้รถสไลด์มานำรถของเราเข้าศูนย์ซ่อม เพื่อให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอย่างละเอียด โดยเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมด เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรค น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ น้ำมันเฟืองท้าย น้ำหล่อเย็น เป็นต้น รวมไปถึงควรให้ช่างอัดจาระบีที่ลูกหมากใหม่ และตรวจเชคระบบเบรคว่าผิดปกติหรือไม่
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. เผยมาตรฐานการซ่อม "รถยนต์ถูกน้ำท่วม" โดยมีการประเมินค่าซ่อม 5 ระดับ ดังนี้
ระดับ A น้ำท่วมถึงพื้นรถยนต์ ประเมินค่าซ่อม 8,000-10,000 บาท
ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง ประเมินค่าซ่อม 15,000-20,000 บาท
ระดับ C น้ำท่วมถึงส่วนล่างของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อม 25,000-30,000 บาท
ระดับ D น้ำท่วมถึงส่วนบนของคอนโซลหน้า ประเมินค่าซ่อมเริ่มต้นที่ 30,000 บาทขึ้นไป
ระดับ E รถยนต์จมน้ำทั้งคัน กรณีนี้บริษัทจะคืนทุนประกันภัย
>> สิ่งที่ต้องทำ หลังขับลุยน้ำลึก !
>> ถุงคลุมรถกันน้ำท่วม ใช้ได้ผลจริงหรือ ?
> รถ EV หน้าฝน รอดหรือร่วง ?