ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Benedetto Vigna ซีอีโอ Ferrari (แฟร์รารี) ให้สัมภาษณ์ว่า ข้อมูลลูกค้ามีแนวโน้มว่ากลุ่มลูกค้าอายุน้อยมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยในเดือนที่ผ่านมามีลูกค้ากลุ่มอายุต่ำกว่า 40 ปี ถึง 40 % ของลูกค้าทั้งหมด เพิ่มจากช่วงก่อนหน้าที่ลูกค้ากลุ่มนี้มีอัตราส่วนที่ 30 %
การเพิ่มขึ้นของลูกค้ากลุ่มนี้ คาดว่ามาจากการจำหน่ายรุ่นใหม่ ที่มีราคาเริ่มต้นระดับ 230,000 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 7.73 ล้านบาท) อย่างไรก็ตาม 3 ใน 4 ของลูกค้าทั้งหมดยังเป็นกลุ่มลูกค้าเดิม
ปกติบริษัท Ferrari จะผลิตรถจำนวนจำกัด สำหรับลูกค้าพิเศษเท่านั้น แต่เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้น จึงเพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นอีก จากตัวเลขของปีที่แล้วบริษัททำสถิติยอดขายใหม่ โดยมียอดส่งมอบจำนวน 13,752 คัน มากกว่าปีก่อนหน้า 0.7 % อย่างไรก็ตาม ลูกค้ายังต้องรอการส่งมอบเป็นเวลานานกว่า 2 ปี
ข้อมูลยอดลูกค้าของ Ferrari อาจจะเปลี่ยนอีกเร็วๆ นี้ หลังจากบริษัทเปิดตัวรถไฟฟ้าแบบแรกของ Ferrari แบบครอสส์โอเวอร์ เอสยูวีทรงปราดเปรียว ซึ่งเคยเห็นวิ่งทดสอบภายใต้การพรางอย่างมิดชิด โดยจะเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้ และส่งมอบได้ในปี 2569 จากการวิเคราะห์ของบริษัทวิจัยคาดว่า ลูกค้าของรถรุ่นใหม่จะเป็นลูกค้าใหม่ที่ชื่นชอบรถไฟฟ้า และไม่ต้องการใช้รถเครื่องยนต์สันดาปภายใน การเปิดตัวรถไฟฟ้าของค่ายม้าลำพองจะเป็นการนำลูกค้ากลุ่มใหม่ให้เข้ามาสัมผัสกับยนตรกรรมของ Ferrari
ด้วยข้อจำกัดด้านมลพิษทำให้ Ferrari ทั้งหมด ต้องเปลี่ยนมาใช้ขุมพลังไฮบริด หรือมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆ โดยบริษัทคาดว่าในปี 2573 จะมียอดส่งมอบรถไฮบริด และรถไฟฟ้ามากถึง 80 % ของทั้งหมด ซึ่งรวมรถเครื่องยนต์เบนซินด้วย โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงสังเคราะห์แบบคาร์บอนเป็นกลาง ซึ่งเป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้รถเครื่องยนต์เบนซินยังคงอยู่ต่อไป ในโลกของยานยนต์ที่มีมลพิษเป็นศูนย์