ข่าวจากประเทศอังกฤษ ระบุว่า น้ำมันดีเซลกลับมาเป็นพระเอกอีกครั้ง หลังจากบริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ในเยอรมนีเคยสร้างเรื่องอื้อฉาว ในการบิดเบือนการแจ้งค่ามลพิษของรถเครื่องยนต์ดีเซล ที่เรียกกันว่า “Dieselgate” จนทำให้น้ำมันดีเซลกลายเป็นตัวร้ายในวงการรถยนต์ในยุโรป แต่ในปัจจุบันสามารถบรรลุเป้าหมายด้านลดมลพิษจากคาร์บอนได้
ถ้าคุณต้องใช้รถทุกวันโดยขับรถในเมือง, ชานเมือง หรือนอกเมือง รถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หากต้องเดินทางไกลเกินกว่ารถไฟฟ้าจะไปได้ หรือไม่สามารถทำใจให้ยอมรับรถไฟฟ้าได้ การเลือกรถเครื่องยนต์ดีเซล เป็นอีกทางเลือกที่ดีกว่าการใช้เครื่องยนต์เบนซิน
เครื่องยนต์ดีเซลส่วนใหญ่ได้รับความนิยม เนื่องจากมีความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ และปล่อย CO2 (คาร์บอนไดออกไซด์) น้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซิน เช่น Audi Q7 (เอาดี คิว 7) ครอสส์โอเวอร์ เอสยูวี รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล วี 6 สูบ มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงตามมาตรฐานการทดสอบ WLTP ระหว่าง 34-35.8 ไมล์/แกลลอน (14.45-15.22 กม./ลิตร) มีค่ามลพิษจากคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 208-217 กรัม/กม. ส่วนเครื่องยนต์เบนซิน วี 6 สูบ ยุคปัจจุบัน มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 26.4-27.4 ไมล์/แกลลอน (11.22-11.65 กม./ลิตร) และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 235-243 กรัม/กม.
รถพลัก-อิน ไฮบริด นับว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่าในทุกด้าน แต่เมื่อกระแสไฟในแบทเตอรีหมด จะทำให้มีค่าความสิ้นเปลืองเพิ่มสูงมาก จากการแบกน้ำหนักแบทเตอรีของระบบไฮบริด จึงทำให้เหลือเพียงตัวเลือกเดียว คือ เครื่องยนต์ดีเซล นอกจากจะมีระบบส่งกำลังแบบอื่นที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
สำหรับผู้ที่ใช้รถในเมืองเป็นหลักด้วยรถส่วนตัว และจอดชาร์จแบทเตอรีที่บ้านได้ รถไฟฟ้า คือ ทางเลือกที่ดีที่สุด ทั้งยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ หากต้องขับรถเป็นเวลานาน อย่างต่อเนื่องบนไฮเวย์ที่มีระยะทางเกินกว่า 160 กม./วัน รถเครื่องยนต์ดีเซลเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด