ชีวิตคือความรื่นรมย์
มาลัยดอกรัก
ข้าพเจ้าเคยเขียนเล่าเรื่องความเป็นมาเป็นไปในชีวิตให้นิตยสารฉบับหนึ่ง ส่วนมากเป็นเกร็ดชีวิตจริงในการรังสรรค์บทกลอนของข้าพเจ้ากับผองเพื่อนในแวดวงยุคต้นพุทธศักราช 2500 แต่ลืมไปว่าคนอ่านปัจจุบัน เขาไม่ได้อยู่ร่วมสมัยกับเรา และเรื่องที่เล่านั้น นักอ่านปัจจุบันเขาไม่สนุกด้วย
ความจริงแล้ว ข้าพเจ้าเล่าย้อนไกลเกินไป เอาเมื่อสักปี 2503-2512 ตอนรับราชการครูอยู่ที่นครพนม ก๊วนเพื่อนเก่าที่เคยเรียนหนังสือชั้นมัธยมปลายประมาณปี 2490-2495 มาด้วยกัน รวมกับเพื่อนใหม่ที่เป็นข้าราชการ ทั้งหนุ่ม/สาว โสด และไม่โสด แต่ก็หนุ่มแน่นพอที่จะปั่นจักรยานนัดสาวๆ ไปกินข้าวปลากันในวันหยุด นึกถึงตอนนี้ ตนเองก็แทบไม่เชื่อว่า วันหนึ่งเราปั่นจักรยานทางใกล้ทางไกลถึงเกือบ 100กม. มาแล้วก็มี คือ จากตัวเมืองนครพนม ว่าจะแค่อำเภอท่าอุเทน ซึ่งประมาณ 40 กม. แล้วเพื่อนก็ว่าไปเยี่ยมบ้านเกิดข้าพเจ้าที่เหนืออำเภอไปอีกแค่ 8-9 กม. พอถึงนั่งแวะกินข้าวกลางวันแล้วก็ถูกเพื่อนที่มีแฟนอยู่อำเภอศรีสงครามหลอกว่า ไปอีกไม่ไกลกว่าที่ผ่านมาก็ถึงแล้ว ปรากฏว่าถึงเอาจวนเย็น หิวข้าวแทบตาย ห่อข้าวเหนียวที่เหลือกลางวัน ถูกแบ่งกันคนละเล็กละน้อยจนหมด เพื่อนคนหนึ่ง ต้องแวะเข้าป่าหารังมดแดงมาเคาะจับตัวมดแดงมากินกับยอดเสม็ด แก้เป็นลมตายจนได้
ความบันดาลใจที่จำได้ไม่ลืมอีกครั้งหนึ่ง การชุมนุมกันวันหนึ่งเมื่อเดือนมกราคม 2505 เพราะเพื่อนอาจารย์ที่เรารักคนหนึ่ง ต้องแต่งงานกับนายตำรวจคู่หมั้น ที่ญาติผู้ใหญ่ (ซึ่งก็เป็นญาติกัน) หมั้นกันไว้แต่ยังเยาว์ ครั้นเมื่อต่างคนต่างแยกกันเรียนและออกไปทำงาน ฝ่ายหญิงที่เป็นเพื่อนสนิทของเรา เกิดปักใจในคนๆ ใหม่ที่รู้จัก และมีสเปคโดนใจในความเป็น แมน อย่างครบเครื่อง แม้เขามีครอบครัว มีลูกน่ารัก (เข้าสูตรนิยายโทรทัศน์อย่างแท้จริง) เผอิญที่พวกเราหลายคน ก็รู้จักนายตำรวจสุภาพบุรุษคู่หมั้นนั้นด้วย พวกเราจึงไม่สามารถเชียร์ให้ทั้งคู่ที่เราสนิททั้งสองนี้ แหวกประเพณีดีงามไปได้ นอกจากให้ความเข้าใจและเห็นใจ
สิ่งที่เราทำได้ในตอนก่อนวันงาน คือ ช่วยกันเตรียมงานและเตรียมจัดห้องหอให้ดีที่สุด คืนก่อนวันงาน พวกเราไปช่วยร้อยมาลัยดอกรัก เพื่อที่จะทำเป็นสายม่านหน้าประตูที่เป็นห้องส่งตัว หลังจากเสร็จภาระดึกคืนวันนั้น ข้าพเจ้ากลับที่พัก เกิดอารมณ์สะเทือนใจอย่างแรง นั่งเขียนกลอนด้วยความรู้สึกสมมติว่า หญิงสาวที่รักต้องแต่งงานกับคนอื่นว่า
หยิบแวนด้าดอกหนึ่งซึ่งแสนสวย มาร้อยด้วยด้ายใสแม้นใยสรวง ถอดทั้งมานหวานซึ้งผองผึ้งรวง พร้อมหอมพวงบุปผาวรารส อธิษฐานจารลงตรงรอยร้อย ถอดทุกถ้อยจากใจอันใสสด และลำนำสังคีตประณีตพจน์ ผจงจรดจารในมาลัยกรอง หยิบมาลานาม "รัก" ปักเข็มร้อย สอดใส่สร้อยสลับคู่คราละสอง เปรียบเป็นเขาที่จะอยู่เป็นคู่ครอง กับนาฏน้องชั่วนิรันดร์ไร้วันลับได้ มาลัยดอกรัก มากหลายสาย มาสยายรายประตูดูประดับ เป็นม่านทองเปิดท่าอ้ารับ วิวาห์เข้าประทับในหอทอง เมื่อลอด ม่านมาลัยรัก ไปแล้ว ให้ผ่องแผ้วสดใสอย่าไหม้หมอง ทุกพรที่ประทุกในมัยกรอง ขอให้พ้องเพื่อพิชิตชีวิตรัก
ข้าพเจ้าหยิบการ์ดแสนสวยที่เตรียมไว้ว่าจะเขียนอวยพรมาผจงคัดด้วยลายมือตนเองอย่างสวยที่สุดในตอนนั้น (ซึ่งลายมือยังสวยอยู่) เพื่อไปมอบพร้อมของขวัญในวันพรุ่งตอนฉลองงานแต่ง
แต่ข้าพเจ้าไม่ได้บอกเธอว่า หลังเขียนการ์ดให้เธอแล้ว ข้าพเจ้าได้เพิ่มกลอนอีกบทหนึ่ง แล้วส่งไปที่นิตยสาร สยามสมัย ซึ่งเพื่อนรักของข้าพเจ้านาม รงษ์ วิษณุ และ เจษฎา วิจิตร เล่าไว้ในรายการ คนเขียนฝัน ครั้งที่ 1 ที่เขาจัดทางวิทยุ วปถ. 1 เมื่อคืนวันที่ 6 ตุลาคม 2505 ไว้ว่า
...ต่อมาอีกไม่นาน ข้าพเจ้าได้พบกลอนชิ้นนี้ ในหนังสือพิมพ์สยามสมัย แต่คราวนี้ เขาเติมจุดสะเทือนใจลงในตอนท้ายอีกนิดหนึ่งว่า และเพื่อพี่...ผู้แพ้ให่แก่ เขา ขอให้เราเป็นเพียง... ผู้เคยรู้จัก เผื่อพบหน้าถ้าจำได้อย่าทายทัก จำจงหนัก... โลกนี้ไร้พี่แล้ว
ข้าพเจ้า (คนจัดรายการ "คนเขียนฝัน") กล้าท้าพนันก็ได้ว่า ก่อนที่จะเขียน 4 บรรทัดสุดท้ายนี้ เขาจะต้องคิดถึงใครคนหนึ่งที่เขาเคยรัก และใครคนนั้นจะมีเจ้าของไปแล้วหรือยังก็ตามที แต่เขาก็กำลังฝันไปว่า เธอกำลังเข้าพิธีแต่งงาน และหัวใจของเขากำลังบอกเธอผู้นั้นด้วยคำพูดสี่วรรคนี้ @
ABOUT THE AUTHOR
ป
ประยอม ซองทอง
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2557
คอลัมน์ Online : ชีวิตคือความรื่นรมย์