FORD คืนสังเวียนสูตรหนึ่ง !

นับเป็นข่าวใหญ่ในวงการมอเตอร์สปอร์ท เมื่อ “FORD” (ฟอร์ด) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการยานยนต์สหรัฐอเมริกา ประกาศว่า จะขอจับมือเป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ ให้ทีมแข่งรถสูตรหนึ่ง อันดับ 1 อย่าง “RED BULL RACING” (เรด บูลล์ เรซิง) ตั้งแต่ฤดูกาล 2026 ซึ่งจะเป็นฤดูกาลแรกที่การแข่งรถสูตรหนึ่งจะปรับใช้กติกาเครื่องยนต์ใหม่ กติกาใหม่ที่จะเริ่มในฤดูกาล 2026 แม้จะยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปภายภายในแบบ วี 6 สูบ พ่วงระบบไฮบริดเหมือนเดิม แต่มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้มอเตอร์ไฟฟ้ามากกว่ารถปัจจุบัน โดยคาดการณ์ว่า มอเตอร์ไฟฟ้าของรถแข่งปี 2026 จะมีกำลังมากถึง 350 กิโลวัตต์ (470 แรงม้า) และเชื้อเพลิงที่ใช้ทั้งหมดจะเป็นเชื้อเพลิงที่มาจากแหล่งผลิตที่มีความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (SUSTAINABLE FUEL) ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นความท้าทายที่ FORD เชื่อมั่นว่าพวกเขาพร้อมรับมือ การที่ RED BULL RACING หันมาจับมือกับ FORD ครั้งนี้ เนื่องจากสัญญาระหว่างพวกเขากับ HONDA (ฮอนดา) ประเทศญี่ปุ่น จะจบลงอย่างสมบูรณ์ในฤดูกาล 2025 แต่เป็นการจบความร่วมมือที่งดงาม เพราะอย่างน้อย RED BULL RACING ก็สามารถคว้าแชมพ์ได้ในฤดูกาล 2021 และ 2022 การแยกทางของ HONDA กับ RED BULL RACING นั้นเป็นเรื่องที่คาราคาซังพอสมควร โดยทีมแข่งเริ่มใช้เครื่องยนต์ HONDA ในฤดูกาล 2019 แต่ไม่นานหลังจากนั้น TAKAHIRO HACHIGO (ทากาฮิโระ ฮาจิโกะ) ซีอีโอ HONDA ในเวลานั้นก็มีดำริว่า การแข่งขันรถสูตรหนึ่งมันขัดกับนโยบาย เพราะตอนนั้นพวกเขาต้องการจะเน้นหนักไปที่การเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีนโยบายว่า HONDA จะต้องเป็นบริษัทที่มีคาร์บอนเป็นกลาง (CARBON NEUTRAL) ในปี 2050 แม้ว่าดูแล้วจะมีแนวคิดที่ลึกซึ้ง แต่ลึกๆ แล้วน่าจะเป็นเรื่องของฝ่ายบัญชี ที่ต้องการควบคุมงบประมาณ และทรัพยากรบุคคลเสียมากกว่า จึงทำให้ในเวลานั้น HONDA ประกาศจะขอถอนตัวจากการเป็นผู้สนับสนุนเครื่องยนต์อย่างเต็มตัวให้แก่การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ในปี 2021 พอเวลาล่วงเลยมาถึงเดือนเมษายน 2021 HONDA ได้เปลี่ยนซีอีโอเป็น TOSHIHIRO MIBE (โตชิฮิโระ มิเบะ) ซึ่งได้ทบทวนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันรถสูตรหนึ่งอีกครั้ง และให้การสนับสนุนทีม RED BULL RACING ต่อไป แต่ “ไม่เต็มรูปแบบ” โดยการขายโรงงาน พร้อมเครื่องจักรผลิตเครื่องยนต์ที่เมือง MILTON KEYNES (มิลทัน คีนส์) ในประเทศอังกฤษ ให้ RED BULL RACING นำไปตั้งบริษัทใหม่ที่ร่วมทุนกันกับ RED BULL ในชื่อ RED BULL POWERTRAINS LIMITED หรือ RBPT ซึ่งแม้เครื่องยนต์จะติดคำว่า RED BULL แต่ก็รู้กันดีว่าจริงๆ มันคือ เครื่องยนต์ HONDA โดยแทนที่จะติดสติคเกอร์คำว่า HONDA HYBRID หรือ HONDA E TECHNOLOGY ข้างรถก่อนหน้านี้ ก็จะกลายเป็นโลโก HRC หรือ HONDA RACING CORPORATION แทน ซึ่งพวกเขาได้ตกลงกันว่า จะร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกันต่อไปจนสิ้นสุดฤดูกาล 2025 แน่นอนว่า ในช่วงที่ผ่านมา ทีม RED BULL RACING ต้องวิ่งหาผู้สนับสนุนเครื่องยนต์รายใหม่ สำหรับการแข่งฤดูกาล 2026 ที่จะเริ่มขึ้นพร้อมกติกาใหม่ เราเคยเห็นข่าวว่า หนึ่งในผู้ที่ให้ความสนใจ คือ PORSCHE (โพร์เช) จากเยอรมนี ที่มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุน และความสามารถ แต่สุดท้ายดีลก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนมาลงตัวที่ FORD ในที่สุด FORD พร้อมแค่ไหนกับการผลิตเครื่องยนต์สมรรถนะสูงสำหรับรถแข่งสูตรหนึ่ง เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกตั้งคำถาม ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะ FORD นั้นร้างเวทีรถสูตรหนึ่งไปตั้งแต่ปี 2004 หรือเกือบ 20 ปี หลังยุคที่มีทีม JAGUAR RACING (แจกวาร์ เรซิง) ร่วมการแข่งขัน แต่ถ้าเปิดประวัติของ FORD กับการแข่งรถสูตรหนึ่งดูแล้ว คุณอาจจะประหลาดใจ เพราะ FORD เป็นผู้ผลิตเครื่องยนต์ที่ประสบความสำเร็จอันดับ 3 เป็นรองเพียง FERRARI (แฟร์รารี) และ MERCEDES-BENZ (เมร์เซเดส-เบนซ์) เท่านั้น ด้วยผลงานการคว้าแชมพ์ประเภทผู้ผลิตถึง 10 สมัย และอยู่เบื้องหลังของแชมพ์ประเภทนักขับอีกถึง 13 สมัย เเถมมีสถิติคว้าชัยอันดับ 1 มาครองถึง 174 สนาม ! โดยหนึ่งในนั้น คือ การอยู่เบื้องหลังความสำเร็จยุคแรกของตำนานนักแข่งอย่าง MICHAEL SCHUMACHER (มิคาเอล ชูมาเคร์) ยุคที่คว้าแชมพ์โลกประเภทนักขับครั้งแรก เมื่อปี 1994 สมัยที่อยู่กับทีม MILD-SEVEN BENETON FORD (ไมล์ด์-เซเวน เบเนทัน ฟอร์ด) ในอดีตมีทีมแข่งมากมายเลือกใช้เครื่องยนต์ของ FORD ไม่ว่าจะเป็น LOTUS (โลทัส), McLAREN (แมคลาเรน), BRABHAM (บราบแฮม), TYRRELL (ไทร์เรลล์) และ WILLIAMS (วิลเลียมส์) โดยในต้นยุคทศวรรษที่ 70 แทบจะเรียกได้ว่า นอกจาก FERRARI แล้วเกือบทุกทีมล้วนใช้แต่เครื่องยนต์ของ FORD ซึ่งเป็นที่มาของตำนานแชมพ์โลก 13 สมัยนั่นเอง FORD เริ่มเข้าสู่การแข่งขันรถสูตรหนึ่ง ครั้งแรกในปี 1967 ด้วยเครื่องยนต์ที่มีชื่อว่า DFV หรือ DOUBLE FOUR VALVE ซึ่งเป็นเครื่องทวินแคม (ดับเบิลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ หรือ DOHC) แบบ 4 วาล์ว/สูบ และเครื่องยนต์ DFV ถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันมากที่สุด จนกระทั่งรถแข่งสูตรหนึ่งเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ ในปี 1984 ที่เป็นยุคสมัยที่พวกเขาอยู่ในเงามืดพักใหญ่ จนกระทั่งในปี 1987 ที่กติกาให้กลับมาใช้เครื่องยนต์แบบไม่มีระบบอัดอากาศอีกครั้ง ความยิ่งใหญ่ของ FORD จึงคืนมา และฟื้นตัวเต็มรูปแบบในยุคของ MICHAEL SCHUMACHER ในปี 1994 ที่ควบรถแข่งเครื่องยนต์ FORD คว้าแชมพ์โลกในฤดูกาลนั้น แต่หลังจากนั้น ดูเหมือนว่าเทพีแห่งโชคจะไม่เข้าข้าง FORD อีกต่อไป แม้จะมีโชคอยู่บ้างในยุค 90 ตอนปลาย กับทีม STEWART GRAND PRIX (สจวร์ท กรองด์ ปรีซ์) ของ JACKIE STEWART (แจคคี สจวร์ท) อดีตนักแข่งในตำนานชาวสกอทท์ โดยท้ายที่สุด FORD ควักเงินซื้อทีมแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น JAGUAR RACING ที่ได้ 2 นักแข่งชื่อดังอย่าง JOHNNY HERBERT (จอห์นนี เฮอร์เบิร์ท) และ EDDIE IRVINE (เอดดี เออร์วิน) มาร่วมทีม ในปี 2000 แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่ง FORD ตัดสินใจถอนตัวจากการแข่งรถสูตรหนึ่ง ในปี 2004 และได้ขายทีมให้ RED BULL ในปี 2004 อะไร คือ มูลเหตุจูงใจให้ FORD ตัดสินใจกลับมาในสังเวียนที่พวกเขาถอนตัวไปกว่า 22 ปี (นับถึงปี 2026) อันดับแรกน่าจะเป็นความเชื่อมั่นที่พวกเขามีให้เเค่ RED BULL RACING ทีมแข่งที่เข้มแข็ง และเขี้ยวลากดินที่สุดในยุคปัจจุบัน ทำให้การลงทุนของพวกเขาจะไม่เสียเปล่าเหมือนครั้งที่พวกเขาสร้างทีม JAGUAR RACING อันดับต่อมา คือ กติกาใหม่ฤดูกาล 2026 นั้นมุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาระบบขับเคลื่อนไฮบริด โดยใช้พลังไฟฟ้าจากระบบ MGU-K หรือระบบที่เก็บเกี่ยวพลังงานจากพลังงานจลน์ ซึ่งมากกว่าของที่ใช้ในปัจจุบันนี้ถึง 3 เท่า และการใช้เชื้อเพลิงแบบใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะใช้งานร่วมกับเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ วี 6 สูบ เทอร์โบ ที่ต่อยอดจากเครื่องยนต์บลอคเดิมที่ทุกทีมใช้งานอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งจุดนี้ได้มีการตั้งคำถามกับผู้บริหารของ FORD ว่า “ถ้าไม่มีการใช้กติกาใหม่ FORD จะสนใจเข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่งหรือไม่ ?” ซึ่งคำตอบนั้นชัดเจนว่า “ถ้าไม่มีกติกาใหม่ออกมา เราคงไม่สนใจเข้าร่วมการแข่งขัน” นั่นคือ FORD เห็นว่า องค์ความรู้ และผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง จะเกื้อหนุนให้แก่แนวทางการดำเนินธุรกิจของพวกเขาในอนาคตได้อย่างแน่นอน ถ้าพูดถึงเรื่องธุรกิจต้องถือว่าเป็น “วิน-วิน” ทั้ง FORD และ RED BULL RACING เพราะสำหรับ FORD นี่คือ การสร้างภาพลักษณ์ที่กระฉับกระเฉง ไฮเทค สปอร์ท และเป็นสากล ให้ตลาดท้องถิ่นในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่คนส่วนใหญ่มักมองว่า FORD ล้าหลังเรื่องเทคโนโลยี และสำหรับ RED BULL RACING การเจาะเข้าตลาดที่มีการบริโภคมากที่สุดในโลกอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา ถือเป็นกลยุทธ์ที่เลี่ยงไม่ได้ หลังจากปล่อยให้บแรนด์เครื่องดื่มชูกำลังสัญชาติอเมริกันอย่าง MONSTER DRINK (มอนสเตอร์ ดริงค์) ครองตลาดมาช้านาน มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วว่า ฤดูกาล 2026 นี้จะมีผู้ผลิตเครื่องยนต์เข้าร่วมการแข่งขันรถสูตรหนึ่ง รวม 6 บริษัท ได้แก่ FERRARI, MERCEDES-AMG (เมร์เซเดส-เอเอมจี), ALPINE (อัลไพน์), AUDI (เอาดี), HRC (HONDA RACING CORPORATION) และ RED BULL FORD ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ผลิตเครื่องยนต์ให้รถแข่งสูตรหนึ่ง เพียง 4 รายเท่านั้น โดย 2 รายใหม่ คือ AUDI และ RED BULL FORD นั่นเอง เครื่องยนต์ของ RED BULL FORD เป็นความร่วมมือระหว่างทีมงานของ FORD ในสหรัฐฯ ที่เน้นหนักไปที่ระบบขับเคลื่อนไฮบริด ร่วมกับทีมงานของ RED BULL POWERTRAINS ในสหราชอาณาจักร โดยจะถูกนำไปใช้กับรถแข่งของทีม RED BULL และทีมน้องอย่าง ALPHATAURI (อัลฟาทัวรี) ด้วย ส่วนหน้าใหม่อย่าง AUDI นั้นจะจับมือกับทีม SAUBER (เซาเบร์) โดยใช้ชื่อทีม AUDI ซึ่งปัจจุบันทีม SAUBER ใช้เครื่องยนต์ของ FERRARI และร่วมการแข่งขันภายใต้ชื่อทีม ALFA ROMEO (อัลฟา โรเมโอ) สำหรับ ALPINE นั้น ลึกๆ แล้ว คือ RENAULT (เรอโนลต์) จากฝรั่งเศสนั่นเอง พวกเขาผลิตเครื่องยนต์ให้แก่ทีมตัวเองเป็นหลัก ในขณะที่ FERRARI นอกจากผลิตเครื่องยนต์ให้ทีมของตัวเอง ยังส่งเครื่องยนต์ของพวกเขาให้ทีมท้ายตารางอย่าง HAAS อีกด้วย ส่วนทีมที่ผลิตเครื่องยนต์ให้ทีมอื่นๆ ที่เหลือ คือ MERCEDES-AMG โดยนอกจากทีมของพวกเขาเอง ทีมอื่นที่ใช้เครื่องยนต์ของพวกเขา คือ ASTON MARTIN (แอสตัน มาร์ทิน), WILLIAMS และ McLAREN สำหรับ HRC หรือ HONDA RACING CORPORATION แม้จะยังดูกล้าๆ กลัวๆ แต่พวกเขาก็ได้ลงทะเบียนเป็นผู้จัดหาเครื่องยนต์ให้ทีมที่ต้องการเครื่องยนต์สำหรับกติกาใหม่เรียบร้อย แม้ทุกวันนี้จะยังไม่มีทีมไหนแสดงความจำนง แต่กว่าจะถึงการแข่งขันฤดูกาล 2026 คาดว่าต้องมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกเยอะ น่าจับตาว่า FORD ในสังเวียน F1 จะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ หรือจะม้วนเสื่อกลับไปกันแน่