GMC Hummer EV คืนชีพยักษ์ใหญ่ด้วยพลังไฟฟ้า !

ต้นกำเนิดของชื่อ Hummer (ฮัมเมอร์) คือ รถเพื่อกิจกรรมทางการทหารเป็นหลัก (ชื่อเรียกในทีแรก คือ Humvee) ตัวถังใหญ่โต เน้นความบึกบึน สมบุกสมบัน สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้หลากหลาย ตามแต่ภารกิจที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ หลายคนอาจจะคุ้นตาจากการเห็นในภาพยนตร์หลายเรื่อง

   

• Humvee และ Hummer H1

  จนกระทั่งกระแสเอสยูวีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เริ่มมีผู้สนใจนำ Hummer มาใช้งานบนถนนจริง กับรุ่น Hummer H1 หนึ่งในคนดังที่จุดกระแสดังกล่าว คือ ดาราสายแอคชันชื่อดังอย่าง Arnold Schwarzenegger นั่นเอง เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ค่าย AM General จึงพัฒนาตัวลุยภายใต้ยี่ห้อ Hummer ออกมาหลายรุ่น นั่นคือ Hummer H2 และ Hummer H3 เน้นการใช้งานที่หลากหลาย มีความสะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่เส้นสายยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมเอาไว้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม Hummer คือ ตัวลุยขนานแท้ เครื่องยนต์พละกำลังสูง ทำให้การพัฒนาเครื่องยนต์ให้ผ่านเกณฑ์ค่าไอเสียของหลายภูมิภาคทำได้ยากลำบาก ผนวกกับปัจจัยด้านธุรกิจอื่นๆ ทำให้บริษัทแม่ต้องประกาศยุติการทำตลาดของ Hummer ในที่สุด  

• Hummer H2 และ Hummer H3

  ปัจจุบัน การมาถึงของกระแสรถยนต์ไฟฟ้ากำลังทำให้ชื่อของ Hummer กลับมาอีกครั้ง โดยเปลี่ยนผู้พัฒนา และผู้ผลิตเป็นค่ายรถ GMC เนื่องจากไม่ต้องกังวลเรื่องค่าไอเสียอีกต่อไป แถมเทคโนโลยีของมอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรีก็มีพละกำลังเหลือเฟือ และระยะทำการที่มากพอ จนกระทั่งถึงเวลาการเปิดตัว GMC Hummer EV (จีเอมซี ฮัมเมอร์ อีวี)     เส้นสายของ GMC Hummer EV ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของตัวลุยสายเลือดมะกันได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าทรงเรียว วางตัวในแนวขวาง พร้อมชื่อ Hummer สามารถเรืองแสงได้ในยามค่ำ รับกับไฟหน้าทรงเหลี่ยมแบบแอลอีดี สามารถส่องสว่างได้หลากหลายรูปแบบ รวมถึงไฟเลี้ยวที่เรียงตัวในแนวขวางด้วย ทันสมัยสมเป็นรถยนต์ไฟฟ้ายุคหน้า สิ่งที่ขาดไม่ได้ คือ สันเหลี่ยมบึกบึนรอบคัน ซุ้มโป่งล้อทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่ บางรุ่นจะให้ล้อแมกขนาด 22 นิ้ว (รุ่นที่เน้นการลุยเป็นพิเศษจะใช้ล้อแมกขนาด 18 นิ้ว และยางทรงหนา) หลังคาแบบกระจกสามารถถอดเก็บได้ (มีที่เก็บโดยเฉพาะบริเวณใต้ฝากระโปรงหน้า เพราะไม่มีเครื่องยนต์แล้ว) ไฟท้ายแนวตั้งทรงแถบแบบแอลอีดี และอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของตัวลุยแบบดั้งเดิม คือ ยางอะไหล่ถูกติดตั้งบริเวณด้านนอกประตูบานท้าย ขณะที่จุดแตกต่างของรุ่นเอสยูวี และกระบะ จะอยู่ที่ตัวถังหลังเสา ซี (รุ่นเอสยูวี สามารถถอดออกได้เช่นกัน) กับมิติตัวถังโดยรวมของตัวถังเอสยูวี มีความยาว 5,000 มม. ส่วนรุ่นกระบะ คือ 5,507 มม. กับระยะฐานล้อที่ 3,218 มม. (รุ่นเอสยูวี) และ 3,445 มม. (รุ่นกระบะ) ถือว่าใกล้เคียงกับ Hummer H2     พละกำลังมหาศาล คือ หนึ่งในสิ่งที่สร้างชื่อให้แก่ Hummer มาแต่ไหนแต่ไร สำหรับ Hummer EV ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าถึง 3 ตัว สำหรับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา ความจุของแบทเตอรียังไม่เผยออกมาในตอนนี้ แต่ระบุว่าสามารถรองรับสูงสุดที่ 800 วัตต์ แบทเตอรี 20 โมดูล ติดตั้งใต้พื้นห้องโดยสาร วางเรียงซ้อนกัน 2 ชั้น เบื้องต้นทางค่ายผู้ผลิตคาดหมายว่าจะมีพละกำลังสูงสุดในระดับ 830 แรงม้า (ในรุ่นเอสยูวี) และอาจมากถึง 1,000 แรงม้า (ในรุ่นกระบะ) พร้อมแรงบิดสูงสุดถึง 1,590.4 กก.-ม. !!     การใช้งานพละกำลังมหาศาลสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ คือ หนึ่งในจุดเด่นของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในแง่ของการออกตัวบนทางเรียบ มีโหมด Watts To Freedom ระบบจะลดความสูงตัวรถลงมา พร้อมระบบช่วยออกตัว สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.5 วินาที ! นับเป็นสิ่งที่ Hummer เครื่องยนต์สันดาปไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน ขณะที่ระยะทำการเมื่อชาร์จแบทเตอรีเต็ม ทางค่าย GMC ระบุในเบื้องต้นว่าจะมากกว่า 480 กม. (หรือ 300 ไมล์)     แน่นอนว่า สิ่งสำคัญของชื่อชั้น Hummer คือ ประสิทธิภาพการลุยทางสมบุกสมบัน โดย Hummer EV มีระบบบังคับควบคุมที่สามารถหักเลี้ยวล้อทั้ง 4 ตำแหน่ง โดยเฉพาะโหมด Crab Walk สามารถหักเลี้ยวล้อคู่หลังได้มาก โดยจะหันไปในทิศทางเดียวกันกับล้อคู่หน้า ทำให้ตัวรถสามารถเคลื่อนออกไปด้านข้าง (เช่น พื้นที่แคบ) อย่างได้ผล โดยจะทำงานเฉพาะช่วงความเร็วต่ำเท่านั้น ส่วนการขับขี่ทั่วไป ช่วยให้วงเลี้ยวมีความแคบเพียงฝั่งละ 5.4 ม. เท่านั้น (ล้อคู่หลังจะหันไปคนละทิศทางกับล้อคู่หน้า) และยังมี Extract Mode ระบบจะยกความสูงของตัวรถสูงสุด พร้อมกล้องมองภาพใต้ท้องรถ และรอบคัน สามารถลุยทางสมบุกสมบันได้ดียิ่งขึ้น     ห้องโดยสารของ Hummer EV ถูกออกแบบให้มีความทันสมัย คอนโซลเกียร์ทรงหนา แต่ไม่กินเนื้อที่มากเหมือนกับ Hummer รุ่นดั้งเดิม แผงมาตรวัดแบบดิจิทอล แสดงผลได้หลากหลายรูปแบบ รวมถึงองศาของตัวรถ ขณะแล่นบนทางสมบุกสมบัน และการส่งกำลัง/แรงบิดของล้อแต่ละตำแหน่ง จอภาพสำหรับระบบความบันเทิง และการใช้งานต่างๆ บนคอนโซลกลางมีขนาดใหญ่ วัสดุที่ตกแต่งมีความหรูหรา ผสมกับเอกลักษณ์ดั้งเดิม รวมถึงระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ทันสมัย ภายใต้โหมด Super Cruise ตัวรถสามารถขับเคลื่อนด้วยตัวเองเป็นระยะทางไกล     GMC Hummer EV เตรียมทำตลาดที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 2023 ตอนนี้ถูกเปิดจองเบื้องต้นแล้ว แต่จะมีรุ่นพวงมาลัยขวาหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป กับราคาของรุ่น Edition 1 เริ่มต้นที่ 105,595 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,321,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า) หากติดตั้งชุดตกแต่งสำหรับการลุยเป็นพิเศษจะเป็น 110,595 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,500,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า) ขณะที่รุ่นปกติ ระบบขับเคลื่อน 3 มอเตอร์ คือ 99,995 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3,145,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า) ส่วนรุ่นขับเคลื่อน 2 มอเตอร์ กำลังสูงสุดจะลดลงมาที่ 625 แรงม้า จะมีราคาเริ่มต้นที่ 79,995 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 2,520,000 บาท ไม่รวมภาษีนำเข้า)     พูดง่ายๆ คือ ถ้าจะนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรา พร้อมบวกภาษี (และกำไรของผู้จำหน่าย) คาดว่าต้องเตรียมเงินไว้อย่างน้อย 10 ล้านบาทก็เป็นได้ !!